วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นศ.สาวพิษณุโลกคิดสั้นผูกคอลาโลก


นศ.สาวพิษณุโลกคิดสั้นผูกคอลาโลก


นศ.สาววัย 23 ปี คิดไม่ตกใช้เชือกผูกคอเสียชีวิตภายในหอพักย่านเมืองพิษณุโลก

     ร.ต.ท.บุญสิงห์  สุทธิ ร้อยเวรสภ.เมืองพิษณุโลก ได้รับแจ้งเหตุมีผู้ผูกคอตัวเองเสียชีวิต ภายในหอหักแห่งหนึ่ง ดำริพัฒนาซอย 6 ต.บ้านคลอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก ตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมแพทย์เวรรพ.พุทธชินราช  และเจ้าหน้าที่สมาคมกู้ภัยข่าวภาพพิษณุโลก พบผู้เสียชีวิตชื่อ น.ส.มุขลิน  มากล้นดี อายุ 23 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 143 หมู่ 2 ต.แม่กลอง อ.อุ้มผาง จ.ตาก 
 
     ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตได้ใช้เชือกปอแก้ว ผูกมัดกับลูกบิดประตูห้องพัก  เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุ ก็พบว่า มีผู้พังประตูห้องเข้าไปเพื่อช่วยเหลือก่อนเจ้าหน้าที่ และพบว่าได้เสียชีวิตไปแล้ว ตรวจสอบพบว่า ผู้เสียชีวิต เป็นนักศึกษาระดมอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง สาเหตุการคิดสั้นผูกคอลาโลกครั้งนี้ยังไม่ทราบชัดเจนนัก โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบร่องรอยหลักฐานภายในห้องพักเพื่อตรวจสอบ และให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยข่าวภาพพิษณุโลกนำร่างผู้เสียชีวิตนำไปชันสูตรที่นิติเวชรพ.พุทธชินราชอีกครั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทึ่ง! สาวอังกฤษรอดหลังถูกรถพ่วงทับรถยับ


เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ เปิดเผยภาพเหตุการณ์สุดทึ่ง เมื่อสาวอังกฤษวัย 20 ปี รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด หลังรถพ่วงซึ่งวิ่งมาข้าง ๆ ล้มทับรถที่เธอกำลังขับอยู่จนบี้แบน 

         เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในมณฑลสตาฟฟอร์ดเชียร์ของอังกฤษ เมื่อเช้าวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา หญิงสาวรายหนึ่งซึ่งไม่มีการเปิดเผยชื่อ ได้ขับรถไปตามถนนสองเลน แต่แล้วระหว่างนั้นเองที่รถพ่วงคันใหญ่คันหนึ่งได้วิ่งขึ้นมาขนาบข้างพยายามจะแซงรถของเธอ แต่แล้วยังไม่ทันจะแซงพ้น รถพ่วงก็เกิดเสียสมดุลล้มลงมาทับรถเก๋งคันเล็ก ๆ ของเธออย่างรวดเร็ว 

          แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนั้น เธอจะตั้งสติรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วกระโจนมายังเบาะนั่งข้างคนขับก่อนที่รถพ่วงจะทับรถบริเวณเบาะคนขับจนบี้แบน จากนั้นเธอก็รีบปีนออกมาภายนอกรถ ซึ่งการตัดสินใจอย่างรวดเร็วนี่แหละที่ช่วยชีวิตเธอได้อย่างหวุดหวิด เพราะดูจากสภาพรถพ่วงที่ล้มลงมาทับรถของเธอแล้ว เธอจะไม่มีทางรอดชีวิตแน่นอน ถ้าหากเธอยังคงนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ

         ทั้งนี้ รายงานระบุว่าหญิงสาวรายนี้ได้รับบาดเจ็บแค่ที่มือเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาก เพราะสภาพรถบี้แบนขนาดนั้น มันยากที่จะเชื่อว่าเธอแทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ขณะที่คนขับรถพ่วงนั้น แน่นอนว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เพราะส่วนที่เสียศูนย์ล้มลงมาทับรถเก๋งนั้น เป็นตู้คอนเทนเนอร์ที่พ่วงมาด้านหลัง และส่วนหน้ารถก็ไม่ได้ไปกระแทกกับอะไรเลยนั่นเอง

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก alsawsanadot.files.wordpress.com

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

รวมสูตรสมุนไพรเพื่อความงาม......


หัวไชเท้า: ช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางลง

ส่วนผสม
1.หัวไชเท้า 1 หัว(ขนาดเล็ก)
2.น้ำมะนาวสด 1 ช้อนแกง

วิธีทำ
ใช้หัวไชเท้าล้างน้ำให้สะอาด ทำการปอกเปลือก แล้วหั่นบางๆ นำไป
ปั่นให้พอละเอียด ใส่น้ำมะนาวประมาณ 1 ช้อนแกงปั่นรวมกันอีกครั้ง

วิธีใช้
ให้ทาทั่วผิวหน้า (ยกเว้นรอบดวงตาและปาก) ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเป็นประจำจะช่วยลดฝ้า และกระให้
สีจางลง

กล้วยน้ำว้า : ทำให้ผิวพรรณนุ่มเนียน

ส่วนผสม
1. กล้วยน้ำว้าสุก 1 ผล
2. น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนแกง

วิธีทำ
ให้ใช้กล้วยน้ำว้าสุก 1 ผลกับน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนแกง ปั่นรวมกันให้เป็น
เนื้อครีมข้น

วิธีใช้
ให้ทาครีมให้ทั่วผิวหน้า (เว้นรอบดวงตาและปาก) ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นทำประจำจะช่วยให้ผิวหน้านุ่มเนียนอ่อนวัย

ใบบัวบก : ลดรอยตีนกา

ส่วนผสม
1. ใบบัวบก
2.น้ำต้มสุก

วิธีทำ
ใช้ใบบัวบกสดๆ ล้างให้สะอาด หั่นฝอยประมาณ 1/2 ถ้วย เติมน้ำต้มสุก
นิดหน่อย นำไปปั่นให้เป็นน้ำข้นๆ กรองเอาแต่น้ำ

วิธีใช้   ใช้สำลีชุบทาทั่วใบหน้า หรือจะใช้สำลีแปะไว้ที่ผิวใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ
15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยบำรุงผิวหน้าให้เต่งตึงไร้ริ้วรอย เพราะใบบัวบกมีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินให้ทำงาน
ได้ดีขึ้น

แตงโม : บำรุงผิว ให้ชุ่มชื้นสดใส

ส่วนผสม   แตงโม

วิธีทำ
ใช้เนื้อแตงโมปั่น ให้ละเอียด

วิธีใช้
ทาทั่วผิวหน้า แล้วใช้ผ้าบางๆ หรือผ้ากรอสคลุมไว้ ประมาณ 10-15 นาที
จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะชุ่มชื้นสดใสไม่แห้งกร้าน

ทุเรียน : ลดปัญหาสิวสาว

ส่วนผสม
1.เนื้อทุเรียนสุกพอห่าม(สุกไม่มาก)
2.ดินสอพอง

วิธีทำ
ใช้เนื้อทุเรียนสุกพอห่าม หรือจะเป็นเนื้อทุเรียนดิบ หั่นชิ้นเล็กๆ ประมาณ
3-5 ช้อนแกง (หรือกะเอาพอประมาณ) ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนแกง ปั่นให้เป็นเนื้อเนียนข้น

วิธีใช้
ใช้ทาทั่วผิวหน้า (เว้นรอบดวงตาและปาก) หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด (ธาตุกำมะถันในทุเรียน
จะช่วยให้เม็ดสิวแห้งเร็วได้)




สรรพคุณสมุนไพร เพื่อความงาม


ปัจจุบันมีการใช้สมุนไพรในการรักษาโรคอย่างแพร่หลาย รวมถึงมีการใช้สมุนไพรเกี่ยวกับความงามทั้งตามสปา หรือใช้เองที่บ้าน สำหรับสรรพคุณของสมุนไพรนั้น ผมได้รวบรวมบางส่วนมาให้ได้อ่านกัน โดยเน้นที่สมุนไพรเกี่ยวกับความงามครับ

กระเจี้ยบ
สรรพคุณช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวพรรณสดใส ลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและหางตา ช่วยลดจุดด่างดำและฝ้าบนใบหน้า ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอก ออกไป ใช้เป็นประจำจะทำให้ผิวนุ่มนวลสดใส มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยลดความดันโลหิต ต้านการเกิดพิษต่อตับ ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

มะขามเปียก
สรรพคุณ ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกไป ช่วยขจัดกลิ่นตัว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ขาวใส ผิวพรรณผุดผ่อง เต่งตึง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยในเรื่องการขับถ่าย แก้อาการท้องผูก และแก้ไอขับเสมหะ มีวิตามินซีสูงช่วยป้องกันไข้หวัด วิตามินเอช่วยเรื่องสายตาและระบบประสาท

เปลือกมังคุด
สรรพคุณ มีสารช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดรอยเหี่ยวย่น ทำให้ผิวกระชับ ลดการเกิดฝ้า ลดกระ ลดจุดด่างดำ ลดรอยหมองคล้ำ ลดสิว บรรเทาอาการอักเสบของสิว ช่วยลดผดผื่นคัน ช่วยสมานแผล ทำให้แผลแห้งเร็วนอกจากนี้ยังใช้ในการลดกลิ่นตัวได้ด้วย

อบเชยเทศ
สรรพคุณ บรรเทาอาการอ่อนเพลีย ใช้ขับลม รักษาโรคไข้สันนิบาต รักษาลมอัมพฤกษ์ ใช้สำหรับปลุกธาตุอันดับให้เจริญ

เหงือกปลาหมอ
สรรพคุณ เป็นยาอายุวัฒนะ ใช้บำรุงรากผม รักษาฝี ใช้รักษาโรคน้ำเหลืองเสีย แก้พิษฝีดาษ รักษาพิษฝีภายใน รักษาโรคผิวหนัง ลดผดผื่นคัน รักษาอาการหวัด

ฟ้าทะลายโจร
สรรพคุณ ลดไข้ ช่วยให้เจริญอาหาร บรรเทาอาการเจ็บคอ บรรเทาอาการคออักเสบ ลดความดันโลหิต แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ปอดอักเสบ ลดการอักเสบจากสิว

ใบบัวบก
สรรพคุณ ลดรอยเหี่ยวย่น ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง ช่วยลดแผลเป็น ช่วยในการสมานแผล ลดอาการอักเสบ ลดอาการบวม แก้อาการร้อนใน เป็นยาดับร้อน ลดอาการกระหายน้ำ ลดอาการแพ้ ลดอาการอักเสบ ลดอาการระคายเคือง ลดรอยคล้ำรอบดวงตา ลดอาการช้ำใน บรรเทาอาการอ่อนเพลีย บรรเทาอาการปวดท้อง แก้บิด แก้ดีซ่าน แก้ไมเกรน ลดอาการปวดศีรษะ รักษาโรคเรื้อน แก้กามโรค รักษาอาการตับอักเสบ

ขมิ้นชัน
สรรพคุณ ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น ลดการอักเสบของสิว ลดการอักเสบจากแมลงกัดต่อย ลดอาการคัน ลดผื่นคัน ช่วยสมานแผล มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชลอการแก่ของเซลล์ผิวหนัง ช่วยปรับสภาพผิวให้ขาว ลดรอยด่างดำ ลดรอยแผลเป็น ยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยย่อย แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ นอกจากนี้ยังมีสารช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด ทำให้แก้อาการของโรคผิวหนังบางชนิดได้

กานพลู
สรรพคุณ ทำให้รู้สึกเย็น บรรเทาอาการปวดท้อง แก้ลม แก้เหน็บชา รักษาอาการโลหิตเป็นพิษ ช่วยลดการอักเสบของสิว แก้อาการเสมหะเหนียว แก้อาการเลือดออกตามไรฟัน ลดอาการหอบหืด บรรเทาอาการปวดฟัน แก้รำมะนาด

กวาวเครือขาว
สรรพคุณ ช่วยลดและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง เนื่องจากมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดริ้วรอย โรคหัวใจและโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในเรื่องการบำรุงโลหิต บำรุงสมอง บำรุงกำลัง

ว่านนางคำ
สรรพคุณ ช่วยในการบำรุงผิว ทำให้ผิวชุ่มชื่น ใช้คุมธาตุ ใช้เป็นยาสมาน ใช้เป็นยาขับเสมหะ แก้โรคหนองในเรื้อรัง รักษากามโรค แก้ผดผื่นคัน บรรเทาอาการปวดท้อง ใช้ขับลมในลำไส้ แก้ฝี บรรเทาอาการปวดทอนซิล รักษาโรคต่อมน้ำลายอักเสบ แก้เคล็ดขัดยอก แก้ฟกช้ำ บรรเทาอาการบวม

รางจืด
สรรพคุณ มีฤทธิ์ในการแก้พิษร้อนต่างๆ ช่วยอาการแพ้ และบรรเทาการระคายเคือง แก้อาการเมาค้าง แก้อาการปวดหัวมึนหัวอันเกิดมาจากพิษสุรา แก้พิษตกค้างในร่างกายใช้ รักษาโรคอักเสบและปอดบวม

ไพล
สรรพคุณ ลดอาการฟกช้ำ บวม กระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวเต่งตึงสดใส กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดการเกิดเส้นเลือดขอด แก้โรคผิวหนัง แก้ฝี แก้ปวดเมื่อย บรรเทาอาการเหน็บชา บรรเทาอาการปวดท้อง ลดอาการบิดมูกเลือด แก้ท้องเสีย ลดไข้ ช่วยสมานแผล ลดการติดเชื้อ แก้เคล็ดขัดยอก แก้อาเจียน แก้ปวดฟัน ใช้ขับลม ขับประจำเดือน เป็นยาระบายอ่อนๆ

พญายา
สรรพคุณ ช่วยปรับสภาพผิวให้ขาวใส ลดรอยด่างดำ ลดแผลเป็น ช่วยป้องกันผิวจากการทำลายของรังสียูวี มีคุณสมบติดูดซับรังสียูวี นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบซึ่งเกิดจากสิว และยังช่วยลดอาการแพ้และการระคายเคืองด้วย

ทองพันชั่ง
สรรพคุณ รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ลดอาการอักเสบของสิวและผิวหนัง ลดอาการผมหงอกที่เกิดจากเชื้อรา แก้อาการไอเป็นเลือด แก้ริดสีดวงทวาร มีฤทธิ์ฆ่าพยาธิ ลดอาการไข้

ทานาคา
สรรพคุณ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดผดผื่น ลดอาการคัน มีฤทธิ์ในการต่อต้านการเสื่อมของเซลล์ ช่วยป้องกันการเกิดสิว ป้องกันการเกิดริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบเนียน มีฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งช่วยลดการเกิดจุดด่างดำและฝ้า ช่วยปรับผิวให้ขาว และนอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการทำลายผิวจากรังสียูวี( UV ) มีคุณสมบัติดูดซับรังสียูวี

เถาเอ็นอ่อน
สรรพคุณ ช่วยคลายเส้น แก้อาการเส้นยึด ลดอาการเส้นตึง แก้อาการเส้นแข็ง แก้อาการเส้นเอ็นพิการ ต้มดื่มจะช่วยบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง แก้เคล็ดขัดยอก ลดอาการปวดเมื่อยเส้นเอ็น บรรเทาอาการตึงตัว

เถาวัลย์เปรียง
สรรพคุณ ใช้เป็นยาอายุวัฒนะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการเส้นเลือดขอด คลายปวดเมื่อย แก้ปวดตึง ต้มรับประทานจะช่วยขับปัสสาวะ แก้โรคบิด ลดอาการไอ บรรเทาอาการหวัด

ขมิ้นอ้อย
สรรพคุณ ใช้เป็นยาแก้ท้องร่วง แก้อาเจียน ลดไข้ ใช้ผสมในยาระบายเพื่อลดความแรงของยาระบาย ช่วยลดอาการอักเสบจากสิวและแมลงกัดต่อย เป็นยาสมานแผล แก้อาการฟกช้ำ ลดอาการบวม แก้อาการโลหิตเป็นพิษ รักษาอาการเลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก แก้ลม รักษาอาการระดูมาไม่ปกติ มีส่วนช้วยในการรักษาโรคมะเร็งบางชนิด รักษาอาการเลือดคั่ง

ชะเอมเทศ
สรรพคุณ บำรุงผิว ช่วยปรับสภาพผิว ช่วยปรับผิวให้ขาว ลดรอยด่างดำและแผลเป็นต่างๆ บำรุงปอด ลดอาการน้ำลายเหนียว แก้เสมหะ แก้ไอที่มีเสมหะ ลดอาการเบื่ออาหาร บรรเทาอาการปวดท้อง ลดอาการไข้ บรรเทาอาการอ่อนเพลีย บำรุงกล้ามเนื้อ ใช้เป็นยาระบายสำหรับเด็กอ่อน

ดอกอัญชัน
สรรพคุณ ในสมัยโบราณใช้สำหรับทาคิ้วเด็กอ่อนเพื่อทำให้คิ้วหนาขึ้น หรือทาบนศรีษะเพื่อให้ผมดกดำ ใช้ชโลมผมหลังสระแก้ผมหงอก ต้มดื่มช่วยบำรุงตาให้สว่าง แก้ตาเจ็บ รักษาอาการตาฟาง เป็นยาขับปัสสาวะ และเป็นยาระบาย

ผักเสี้ยนผีบด
สรรพคุณ รักษาอาการฝีในตับ รักษาฝีในปอดและลำไส้ ใช้สำหรับขับหนองฝี บรรเทาอาการท้องร่วง ใช้สำหรับแก้ลม

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แผนที่ และ ข้อมูลเชิงพื้นที่


แผนที่ และ ข้อมูลเชิงพื้นที่


แผนที่ คือ 
 สิ่งที่แสดงลักษณะของผิวโลก ทั้งที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยแสดงลงบนพื้นราบ อาศัยการย่อส่วนให้เล็กลงตามขนาดที่ต้องการและใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์แทนสิ่งที่ปรากฏอยู่ บนผิวโลก


ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial data) มีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ 


ข้อมูลเชิงภาพ (Graphic data) สามารถแทนได้ด้วย 2 รูปแบบพื้นฐาน


           ข้อมูลแบบเวกเตอร์ (Vector format)
           ข้อมูลแบบแรสเตอร์ (Rastor format)
ข้อมูลอรรถธิบาย (Attribute data) เป็นข้อความอธิบายที่มีความสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงภาพเหล่านั้น เช่น ชื่อถนน, ลักษณะ พื้นผิว และจำนวนช่องทางวิ่งของเส้นถนนแต่ละเส้น เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Nutrient balance as a sustainability indicator of different agro-environments in Italy


Nutrient balance as a sustainability indicator of different
agro-environments in Italy

     Regionally mandated budgets often ignore important sub-regional differences. To help identify hot-spots,
where environmental pressures and agricultural activities combine and heighten the need to optimise
farming strategies, we recommend using detailed spatial target analysis.
     In this paper, we propose a methodology for identifying different agro-environments, test that method
in a case-study territory in the western Po River plain (the largest and most intensive agricultural area in
Italy), and then calculate the nutrient budget indicators of these defined agro-environments as a means
to assess environmental sustainability.
     We identified five Macro Land Units (MLUs) representing five different agro-environments from official
datasets and territorial surveys, detected and quantified land use, crop productivity, and fertilisation
management in these MLUs, and calculated nutrient budgets according to the IRENA European methodology.
    As expected, the highest nutrient surpluses (103, 39, and 95 kg ha−1 for N, P, and K, respectively)
were detected in the most intensely managed area. N surpluses were attributed to excess mineral inputs
and P surpluses to excess organic inputs. At the territorial scale, the manure N load was far below the
170 kg ha−1 threshold; at the crop scale, maize showed the least-optimised fertilisation management.
This work suggests that GIS-based analysis of environmental pressures of agricultural activities at a
sub-regional level is useful for identifying areas and crops for which fertilization must be well managed.
The proposed methodology depends on accurate collection and collation of farm data into GIS databases;
public authorities should promote investment in planning and managing data collection in agriculture.

รูปแบบของฐานข้อมูล


รูปแบบของฐานข้อมูล

1.ฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น (Hierarchical Database)

เป็นลักษณะของฐานข้อมูลที่มีความสัมพันธ์ของข้อมูลเป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง หรือ แบบหนึ่งต่อกลุ่ม แต่จะไม่มีความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่มในฐานข้อมูลแบบนี้
ลักษณะโครงสร้างของฐานข้อมูลแบบลำดับขั้นนี้ จะมีลักษณะคล้ายต้นไม้ที่คว่ำหัวลง จึงอาจเรียกโครงสร้างฐานข้อมูลแบบนี้ได้อีกแบบว่าเป็น โครงสร้างแบบต้นไม้ (Tree Structure) โดยจะมีระเบียนที่อยู่แถวบนซึ่งจะเรียกว่าเป็น ระเบียนพ่อแม่ (Parent record) ระเบียนในแถวถัดลงมาจะเรียกว่า ระเบียนลูก (Child record) ซึ่งระเบียนพ่อแม่จะสามารถมีระเบียนลูกได้มากกว่าหนึ่งระเบียน แต่ระเบียนลูกแต่ละระเบียนสามารถมีระเบียนพ่อแม่ได้เพียงหนึ่งระเบียนเท่านั้น


 ฐานข้อมูลแบบลำดับขั้นในระบบ GIS




 โครงสร้างฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น


การค้นคืนข้อมูลในฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น จะต้องทำเป็นลำดับชั้นตามโครงสร้าง คือ
ถ้าต้องการสอบถามข้อมูลโรงงานในแต่ละอำเภอว่ามีตำบลอะไรบ้าง จะต้องสอบถามเป็นลำดับขั้น ซึ่งสามารถสอบถามในครั้งเดียว เนื่องจากเอนติตี้ของตำบล เชื่อมโยงโดยตรงกับเอนติตี้อำเภอนั่นเอง แต่ เมื่อต้องการสอบถามข้อมูลโรงงานในแต่ละอำเภอว่ามีโรงงานอะไรบ้าง จำนวนเท่าไร จะต้องสอบถามเป็นลำดับขั้น ไม่สามารถสอบถามในครั้งเดียว เนื่องจากเอนติตี้ของโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ได้เชื่อมโยงโดยตรงกับเอนติตี้อำเภอนั่นเอง ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการสอบถามข้อมูลลดลง คือ
ขั้นแรก จะต้องสอบถามว่าในอำเภอหนองเสือ (2807) มีตำบลใดบ้าง จากตารางขอบเขตอำเภอ
ขั้นที่สอง สอบถามว่าในตำบลที่เลือกไว้แล้วนั้นมีโรงงานใดอยู่ในตำบลดังกล่าวบ้าง จากตารางตำบลซึ่งเชื่อมโยงกับโรงงานอุตสาหกรรมนั่นเอง
การสอบถามหรือค้นคืนข้อมูลจากฐานข้อมูลแบบลำดับขั้นจึงขาดประสิทธิภาพ หรือลดความรวดเร็วในการสอบถาม เนื่องจากมีเอนติตี้ระหว่างกลาง (Intermediate entity)
2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Database)
ข้อมูลภายในฐานข้อมูลแบบนี้สามารถมีความสัมพันธ์กันแบบใดก็ได้ เช่นอาจเป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง หนึ่งต่อกลุ่ม หรือกลุ่มต่อกลุ่ม และไม่จำเป็นต้องมีลำดับชั้นที่สูงกว่า ซึ่งจะทำให้การค้นคืนข้อมูลเป็นไปได้โดยง่ายขึ้นกว่าแบบลำดับขั้น



แสดงฐานข้อมูลแบบเครือข่าย

3. ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ (Relational Database)

ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์เป็นฐานข้อมูลที่มีความนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ซึ่งสามารถใช้งานได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกระดับตั้งแต่ไมโครคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งถึงเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีโครงสร้างข้อมูลต่างจากฐานข้อมูลสองแบบแรก กล่าวคือ ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ในรูปแบบของ ตาราง (Table) ซึ่งภายในตารางก็จะแบ่งออกเป็น แถว (Row) และ คอลัมน์ (Column) แต่ละตารางจะมีจำนวนแถวได้หลายแถวและจำนวนคอลัมน์ได้หลายคอลัมน์ แต่ละแถวสามารถเรียกได้อีกอย่างว่า ระเบียนหรือเรคคอร์ด (Record) คอลัมน์ในแต่ละคอลัมน์สามารถเรียกได้ว่า เขตข้อมูลหรือฟิลด์ (Field)
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์สามารถค้นคืนรายละเอียดด้วยการเชื่อมตารางต่างๆ ตั้งแต่ 2 ตารางขึ้นไป โดยการใช้คุณลักษณะของ Field ที่เหมือนกันที่อยู่ในทุกๆ ตาราง ซึ่งขั้นตอนหรือการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างตารางนี้เรียก “การปฏิบัติการเชื่อมความสัมพันธ์” (Join Operation) และจะได้ตารางใหม่ที่ทำการเชื่อมข้อมูลแล้ว ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลที่ต้องการได้ ซึ่งการค้นคืนในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์นี้จะมีประสิทธิภาพอย่างมากเพราะช่วยให้เกิดความหลากหลายในการประยุกต์ใช้งานมากขึ้น
การปฏิบัติการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างตารางจะจัดเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกันให้อยู่ตารางเดียวกัน ซึ่งมีข้อดีคือทำให้สามารถค้นคืนข้อมูลได้ในเวลาอันรวดเร็วกว่าการจัดเก็บไว้ในหลายๆ ตาราง แต่มีข้อเสียคือการที่นำข้อมูลต่างๆ ที่สัมพันธ์กันมาไว้ในตารางเดียวกันก็จะทำให้ปริมาณข้อมูลที่จัดเก็บในตารางก็เพิ่มขึ้นด้วย




 4. .ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ  (The Object-Oriented  Database Model)                                    


ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น แบบเครือข่าย และฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ล้วนจัดเก็บเฉพาะข้อมูล ไว้ในฐานข้อมูล  ส่วนชุดคำสั่งที่ใช้ในการดำเนินการกับฐานข้อมูลจะจัดเก็บไว้ในซอฟแวร์ระบบจัดการฐานข้อมูลแยกต่างหาก แต่ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ จัดเก็บทั้งข้อมูลและชุดคำสั่งไว้ด้วยกัน จึงสามารถใช้งานร่วมกันได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ฐานข้อมูลชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บและจัดการ แต่มีการนำมาใช้งานน้อยกว่าฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ เนื่องจากมีความยุ่งยากซับซ้อนมากกว่า  




5.ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ-สัมพันธ์ (The Object-Relational  Database Model)


สร้างขึ้นเพื่อให้ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์สามารถเพิ่มคุณสมบัติของแบบจำลองเชิงวัตถุเข้าไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ในด้านการออกแบบข้อมูลใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงระบบฐานข้อมูลเดิม โดยสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาจากแบบจำลองฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ คือ สามารถสร้างชนิดข้อมูลที่กำหนดเองได้




ละติจูด ลองจิจูด

ละติจูด ลองจิจูด


“เส้นรุ้ง” กับ “เส้นแวง” เป็นคำที่หลายๆ ท่านเคยเรียนในสมัยอยู่โรงเรียน ท่องคำว่า “รุ้งตะแคง แวงตั้ง” และความหมายที่ตรงกันคือ เส้นรุ้งคือละติจูด และเส้นแวงคือลองจิจูด  
     ราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติศัพท์และให้รายละเอียดของละติจูด ลองจิจูด ไว้ในพจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ไว้ดังนี้
     ละติจูด (Latitude) เป็นระยะทางเชิงมุมที่วัดไปตามขอบเมริเดียนซึ่งผ่านตำบลที่ตรวจ โดยนับ 0 (ศูนย์) องศา จากเส้นศูนย์สูตรไปทางเหนือหรือใต้ จนถึง 90 องศาที่ขั้วโลกทั้งสอง หรือเป็นมุมแนวตั้งที่ศูนย์กลางโลกระหว่างเส้นรัศมีของโลกที่ผ่านจุดซึ่งเส้นเมริเดียนตัดเส้นศูนย์สูตรกับเส้นรัศมีที่ผ่านตำบลที่ตรวจ
     ลองจิจูด (Longitude) เป็นระยะทางเชิงมุมระหว่างเมริเดียนกรีนิช กับเมริเดียนซึ่งผ่านตำบลที่ตรวจซึ่งวัดไปตามขอบของเส้นศูนย์สูตร หรือขอบของเส้นขนานละติจูด หรือเป็นมุมแนวระดับที่แกนโลกในระหว่างพื้นของเมริเดียนกรนิชกับพื้นของเมริเดียนซึ่งผ่านตำบลที่ตรวจ ตามปรกติวัดเป็น องศา ลิปดา และฟิลิปดา โดยนับ 0 (ศูนย์) องศาจากเมริเดียนกรนิชจนถึง 180 องศาไปทางตะวันออกหรือตะวันตกของเมริเดียนกรีนิช
     เส้นเมริเดียน และเมริเดียนกรีนิช มีความหมายว่า เส้นเมริเดียน (meridian) คือ ขอบของครึ่งวงกลมใหญ่ที่ผ่านขั้วเหนือ และขั้วใต้ของโลก ใช้เป็นเครื่องกำหนดแนวเหนือ-ใต้ของโลก ซึ่งเรียกว่าเหนือจริง ใต้จริง หรือเหนือภูมิศาสตร์ ใต้ภูมิศาสตร์ ตำแหน่งเส้นเมริเดียนบนผิวโลกแต่ละเส้นกำหนดได้ด้วยค่าลองจิจูดของเมริเดียนนั้น
     เมริเดียนกรนิช (Greenwich meridian) คือเส้นเมริเดียนที่ผ่านหอดูดาว ณ ตำบลกรีนิช กรุงลอนดอน อังกฤษ ใช้เป็นศูนย์ในการกำหนดค่าต่อไปนี้ 1) พิกัดภูมิศาสตร์ เป็นจุดตั้งต้นของค่าลองจิจูด ซึ่งใช้ประกอบกับค่าละติจูดในการกำหนดตำแหน่งของสถานที่ต่างๆ บนพื้นผิวโลก โดยเมริเดียนกรีนิชนี้จะมีค่าลองจิจูด 0 (ศูนย์) องศา  2) เวลามาตรฐานสากล เวลาของท้องถิ่นที่อยู่ห่างจากเมริเดียนกรีนิชไปทางตะวันออก 1 องศา จะเร็วกว่าเวลาที่กรีนิช 4 นาที แต่ถ้าอยู่ห่างไปทางตะวันตก 1 องศา จะช้ากว่าเวลาที่กรีนิช 4 นาที

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555


Agro-Ecological Zoning for South West Selangor using Remote Sensing and
Geographic Information System


Abstract
MACRES has conducted a study on agro-ecological zoning of South West Selangor using the integration
of remote sensing and Geogrphic Information System (GIS). Five parameters - land cover/use, landform,
terrain, soil and climate were used for agro-suitability assessment adopting the procedure sin the UNFood
and Agriculture Organisation (FAO) document entitled 'Agro-ecological Zoning'. The land cover/use,
landform and soil layers were generated from visual interpretation of satellite data accompanied by
intensive ground verifications. The terrain layer was produced from a Digital Elevation model (DEM) derived
from digitized contour lines. Two climatic layers-duration of dry season and annual rainfall distribution were
generated through interpolation of point files digitized in the GIS. Crop requirements data were taken from
the FAO guideline with modifications to suit the Malaysian environment setting. Four crops - rubber, oil
palm, cocoa and paddy were assessed because of their socio-economic significance to the state of
Selangor, Malaysia. The agro-ecological zone (AEZ) map was produced using overlay analysis technique
in the GIS. The agro-land suitability map was generated by matching the crop requirements with the land
characteristics in each AEZ unit through cross-tabulation method, giving due considerations to the present
agricultural land use.

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ซุปตาร์อย่างอั้ม พัชราภา วันๆ เค้ากินอะไรบ้าง

   
 ซุปตาร์อย่างอั้ม พัชราภา วันๆ เค้ากินอะไรบ้าง หากเป็นในกองถ่าย เธอจะแพคไปทานเอง เพราะต้องดูแลและควบคุมน้ำหนัก อาหารกล่องในภาพนั่นของเธอหมด เหมือนจะเยอะ แต่เป็นผักผลไม้ทั้งนั้น

ใครไม่อยากเป็นไข้หวัดยกมือขึ้น

ใครไม่อยากเป็นไข้หวัดยกมือขึ้น




    ระยะนี้ย่างเข้าหน้าฝนหลายคนอาจมีอาการตัวร้อน มีไข้ คัดจมูกน้ำมูกไหล นั่นก็คือโดนไข้หวัดเล่นงานจนงอมแงม รู้กันหรือไม่ว่าไข้หวัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่ายังไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ จึงต้องรักษาตามอาการ ทานยาลดไข้ พักผ่อนให้มากขึ้น ควรดื่มน้ำมากๆ แต่ถ้ามีไข้สูงและปวดเมื่อยตามตัวมาก จนนอนซมอาจเกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่
     ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคระบุว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เป็นจำนวนมาก โดยในปี พ.ศ.2554 พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคนี้ถึง 56,766 ราย เสียชีวิต 8 ราย และสถิติล่าสุดในปี พ.ศ.2555 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 14 พฤษภาคม พบผู้ป่วยจำนวน 11,380 ราย *
      หลายคนอาจแปลกใจว่าเหตุใดโรคไข้หวัดใหญ่ ถึงขั้นคร่าชีวิตได้ ทั้งที่ไม่ใช่โรคร้ายแรงและสามารถหายเองได้ คำตอบของปัญหานี้คือ ภูมิคุ้มกันร่างกายค่ะ เพราะในแต่ละวันเราอาจได้รับเชื้อไวรัสหวัดเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว หากภูมิคุ้มกันร่างกายของเราแข็งแรง ก็จะสามารถต่อต้านและกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้ แต่ในทางตรงกันข้าม หากร่างกายอ่อนแอเชื้อไวรัสหวัดจะฟักตัวและเล่นงานเราจนงอมแงม
     ดังนั้นเรามักจะแนะนำว่าในช่วงหน้าฝนที่มีการระบาดของไข้หวัด เราจึงต้องเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการใส่ใจสุขภาพให้รอบด้าน ทั้งการออกกำลังกาย การพักผ่อน และทานอาหาร โดยเฉพาะผลไม้กลุ่มที่ให้วิตามินซีสูง รวมไปถึงการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ได้แก่ สารสกัดจากเห็ด รังนก
      โดยเฉพาะรังนกมีการยอมรับใช้เป็นส่วนผสมในตำราแพทย์แผนจีน เพราะมีฤทธิ์หยินคือไม่ร้อนค่อนไปทางเย็น เมื่อรับประทานแล้วมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย ปอด เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย จากผลการศึกษารังนกกับการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ของ **Guo CT และคณะ พบว่า ไกลโคโปรตีนในรังนกจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไข้หวัดใหญ่เข้าจับกับเซลล์ในร่างกายได้ นอกจากนี้ ***Kong Y.C. และคณะนักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นยังค้นพบว่า ไกลโคโปรตีนซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของรังนก มีฤทธิ์ยับยั้งกลไกการติดเชื้อ และการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส
     จากผลการศึกษาและประโยชน์ข้างต้น เราจึงอาจกล่าวได้ว่า รังนกถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการดูแลสุขภาพให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ห่างไกลจากไข้หวัดได้ไม่ยากจริงๆ ค่ะ


วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิศวกรโยธาฯ เครียด


(ภาพขณะที่ตำรวจกำลังอุ้มวิศวกรออกจากถนน)

     วิศวกรโยธาฯ เครียด อุ้มลูกสาววัย 3 ขวบ ขวางถ.พระราม1 ร้องทุกข์ถูกตำรวจกลั่นแกล้ง ด้าน "พงศพัศ" ได้ลงมารับเรื่องและเจรจาด้วย พร้อมให้ นำเอกสารและสำนวนคดีไปยื่นต่อ พล.ต.ต.ปิยะ ซึ่งได้ประสานทางโทรศัพท์ไว้ให้แล้ว

     นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ อายุ 45 ปี วิศวกรโยธา จ.สมุทรปราการ พร้อมด้วยภรรยาและบุตรสาววัย 3 ขวบ เดินทางเข้าร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยขอเข้าพบ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.เพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์โดยอ้างว่า ตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกตำรวจกลั่นแกล้งและยัดเยียดข้อหาและสั่งฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่ไม่มีอำนาจในการสอบสวนส่งผลให้ตนต้องติดคุกและครอบครัวต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก โดยตนได้พยายามต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์เป็นเวลานานกว่า 3-4 ปี จนกระทั่งในที่สุดศาลได้มีคำสั่งยกฟ้องในคดีดังกล่าวและระบุว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์จริง แต่ภายหลังที่ศาลยกฟ้อง ประวัติและชื่อของตนเองยังติดในบัญชีและเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาเมื่อไปสมัครงานที่ใดก็ไม่มีหน่วยงานใดรับ ส่งผลให้ไม่สามารถหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้และต้องอยู่อย่างเดือดร้อนบุตรสาวต้องออกจากโรงเรียน

     ทั้งนี้ นายอัจฉริยะ ได้ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาตั้งแต่ช่วงเช้า จนเวลาประมาณ 14.00น. ที่ผ่านมา ได้อุ้มบุตรสาว ไปนั่งขวางถนนพระรามที่ 1 ให้รถชน ส่งผลให้การจราจรติดขัด และเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้าไปเจรจาและไกล่เกลี่ย จนยอมออกจากถนน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้เดินทางกลับแต่อย่างใด

"พงศพัศ" โยนตำรวจ 1 ดูแล วิศวกรโยธา หลังอ้าง ถูกตำรวจแกล้ง

     ความคืบหน้าล่าสุด กรณีวิศวกรร้องขอความเป็นธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และได้อุ้มลูกสาววัย 3 ขวบ ขวางถนนพระราม 1 หลังขอเข้าพบ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถูกยัดเยียดข้อหา ต้องติดคุก และต่อสู้คดี จนกระทั่งศาลยกฟ้องว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ล่าสุด พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงมารับเรื่องดังกล่าวและเจรจาด้วย พร้อมกับให้ นายอัจจริยะ เรืองรัตนพงศ์ อายุ 45 ปี วิศวกรโยธาผู้เข้าร้องทุกข์ นำเอกสารและสำนวนคดีต่างๆ ไปยื่นต่อ พล.ต.ต.ปิยะ สอนตระกูล รอง.ผบช.ภ.1 ในฐานะ รรท.ผบช.ภ.1 เจ้าของพื้นที่ ซึ่งได้มีการประสานผ่านทางโทรศัพท์ไว้ให้แล้ว เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้ความเป็นธรรมต่อไป ซึ่ง นายอัจริยะ มีสีหน้าคลายความกังวลลงก่อนที่จะเดินทางไปภาค 1 โดยมีตำรวจสันติบาลได้จัดรถไปส่ง เนื่องจากอ้างว่าไม่มีเงินค่ารถ

GIS A Computerized database management system



     GIS A Computerized database management system for capture storage retrieval analysis and display of spatial  ( locationally defined ) data " ( NCGIA : National Center Geographic Information and Analysis, 1989 )

     ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ฐานข้อมูลการจัดการระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการจับการดึงการวิเคราะห์การจัดเก็บและแสดงผลของข้อมูล (ตามที่กำหนด locationally) พื้นที่"(NCGIA : ข้อมูลทางภูมิศาสตร์แห่งชาติศูนย์และการวิเคราะห์, 1989)

พลังและอารมณ์ดีเพิ่มได้ด้วยอาหาร



พลังและอารมณ์ดีเพิ่มได้ด้วยอาหาร 


          นักวิจัยจำนวนมากกำลังศึกษาถึงความเกี่ยวพันระหว่างอาหารที่เรากินว่ามีผลต่อความรู้สึกอย่างไร และได้พบหลักฐานว่าเพียงแค่เปลี่ยนแปลงอาหารที่กินก็จะช่วยเปลี่ยนระบบการ เผาผลาญอาหารและสารเคมีในสมอง ซึ่งจะส่งผลต่อระดับของพลังงานภายในร่างกายและอารมณ์ของเราอีกด้วย

          อาหารทำให้เรามีพลังเพิ่มขึ้น ๓ วิธีคือ ให้แคลอรี่ที่เพียงพอ มีสารกระตุ้นบางอย่าง เช่น กาเฟอีน และช่วยให้ระบบเผาผลาญอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับความเกี่ยวพันของอาหารกับอารมณ์นั้นพบว่า อาหารที่ดีที่สุดคืออาหารที่ทำให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับคงที่ และกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเคมีที่ทำให้รู้สึกดีออกมา อย่างเช่น เชโรโทนิน

          มาดูกันดีกว่าว่ามีอาหารประเภทไหนบ้างที่ช่วยเพิ่มพลังและทำให้เราอารมณ์ดีตลอดทั้งวัน

คาร์โบไฮเดรตฉลาดล้ำ  

          คาร์โบไฮเดรตอาจจะเป็นศัตรูของอาหารลดน้ำหนักแต่เป็นอาหารที่ช่วยเพิ่ม พลังงานและทำให้อารมณ์ดี เพราะคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย รวมถึงยังช่วยเพิ่มระดับของเชโรโทนิน เพียงแต่ว่าหลักการสำคัญในการกินคาร์โบไฮเดรตคือต้องหลีกเลี่ยงความหวาน ซึ่งจะทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้น นำไปสู่ความเหนื่อยล้าและอารมณ์หงุดหงิด ฉะนั้นควรหันมากินธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี อย่างเช่นข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท และซีเรียล เพื่อทำให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างช้าๆ น้ำตาลในเลือดและระดับพลังงานในร่างกายจึงคงที่

เม็ดมะม่วงหิมพานต์และอัลมอนด์  

          ถั่วทั้งสองชนิดนี้ไม่ได้อุดมไปด้วยโปรตีนเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยแมกนีเซียม สารอาหารที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงาน ผลการวิจัยพบว่าการขาดแมกนีเซียมจะทำให้เราไม่มีเรี่ยวแรง โดยแมกนีเซียมยัพบได้อีกในธัญพืชไม่ขัดสีและปลาบางชนิด เช่น ปลาตาเดียว

เนื้อไม่ติดมัน  

          เนื้อไม่ติดมัน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อไก่ ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ เพราะว่ามีไทโรซีน ซึ่งเป็นกรดอมิโนที่ช่วยส่งผ่านความรู้สึกของระบบประสาทไปยังสมอง ช่วยแก้ไขอารมณ์ซึมเศร้า ช่วยฟื้นฟูความจำ และช่วยกระตุ้นความรู้สึก โดยไทโรซีนจะทำให้โดพามีน และนอริไพฟรีน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่ช่วยให้เรามีความตื่นตัวและมีความจดจ่อ นอกจากนี้เนื้อสัตว์ยังมีวิตามินบี ๑๒ ซึ่งช่วยต่อสู้กับอาการนอนไม่หลับ และอาการซึมเศร้าด้วย

ปลาแซลมอนและปลาสวาย 

          ปลาที่อุดมไปด้วยไขมัน อย่างเช่น ปลาแซลมอน ปลาสวาย จะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า ๓ ซึ่งมีผลการศึกษาพบว่า อาจจะช่วยป้องกันอาการซึมเศร้า รวมถึงยังดีต่อสุขภาพของหัวใจ โดยโอเมก้า ๓ ยังพบได้ในถั่วชนิดต่างๆ และผักใบเขียว

ผักใบเขียว  

          สารอาหารอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้า คือ โฟเลต ซึ่งพบมากในผักใบเขียว ไม่ว่าจะเป็นผักโขม ผักสลัดประเภทคอส พืชตระกูลถั่ว เมล็ดถั่วชนิดต่างๆ และผลไม้ตระกูลส้ม

ไฟเบอร์  

          ไฟเบอร์ช่วยให้พลังงานในร่างกายอยู่ในระดับคงที่ไม่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เพราะไปเบอร์จะค่อยๆ ย่อยช้าๆ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน โดยอาหารที่ให้ไฟเบอร์สูงก็คือ พวกพืชตระกูลถั่ว ผลไม้ทั้งเปลือก ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี อาทิ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท

น้ำ  

          การขาดน้ำและความเหนื่อยมัมาด้วยกัน ผลการศึกษาหลายชิ้น จึงพบว่าการขาดน้ำเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ระบบการเผาผลาญอาหารทำงานช้าลง และดูดพลังงานภายในร่างกายของเราไปจนหมดสิ้น วิธีการแก้ที่ง่ายๆ คือ ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยอาจจะดื่มเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ไม่ใส่น้ำตาลร่วมด้วยก็ได้

อาหารสด  

          อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอและช่วยเพิ่มพลังให้ร่างกาย ก็คือ การกินอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำ อย่างเช่น ผักสดและผลไม้สด ฉะนั้นหลีกเบี่ยงขนมขบเคี้ยวแล้วเคี้ยวแอปเปิล หรือฝรั่งแทนดีกว่า

กาแฟ  

          กาแฟจัดเป็นเครื่องดื่มเพิ่มพลังที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในโลก แถมมีหลักฐานว่าช่วยได้จริงๆ อย่างน้อยๆ ก็ในช่วงเวลาสั้นๆ เพระกาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงานมากขึ้น ทำให้ร่างกายมีพลังงานมากขึ้น อย่างไรก็ดี ควรดื่มกาแฟแก้วเล็กๆ เพื่อเพิ่มพลังเป็นระยะๆ ดีกว่าการดื่มกาแฟแก้วใหญ่ๆ เพียงครั้งเดียว เพียงแต่ว่าอย่าดื่มมากเกินไปจนคุณนอนตาค้างในเวลากลางคืนก็แล้วกัน

ชา  

          มีผลการวิจัยพที่พบว่า ชามีส่วนผสมของกาเฟอีนและ L-theanine ที่มีผลทำให้ร่างกายมีความตื่นตัว มีการตอบสนองและมีความจำดีขึ้น

ดาร์คชอคโกแลต  

          คุณอาจจะรู้อยู่แล้วว่า การกินดาร์คชอคโกแลตสัก ๒-๓ ชิ้น จะทำให้อารมณืดีและมีพลังมากขึ้น โดยนอกจากเป็นผลจากกาเฟอีนแล้ว ก็ยังเป็นผลจาก theobromine ซึ่งเป็นสารประเภทอัลคาลอยด์ ที่อยู่ในชอคโกแลตนั่นเอง

อาหารเช้า  

          ใครก็ตามที่อยากมีพลังและอารมณ์ดีตลอดวันก็ไม่ควรจะงดกินอาหารเช้า เพราะมีผลการศึกษามากมายหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า คนที่กินอาหารเช้าทุกวัน จะมีพลังและมีอารมณ์ดีตลอดทั้งวัน แต่อาหารเช้าที่ดีควรอุดมไปด้วยไฟเบอร์และสารอาหารต่างๆ ที่ได้จากธัญพืชไม่ขัดสี ไขมันที่ดี และโปรตีนที่ไม่มีไขมัน

กินอาหารมือเล็กๆ  

          อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ทำให้ร่างกายมีพลังและอารมณ์ ดีตลอดทั้งวันก็คือ การกินอาหารมื้อเล็กๆ และอาหารว่างทุกๆ ๓-๔ ชั่วโมง มากกว่าที่จะกินอาหารมื้อใหญ่ๆ เพียงไม่กี่มื้อ

ออกกำลังกาย  

          นอกจากการเปลี่ยนอาหารที่รับประทานแล้ว การออกกำลังกายยังเป็นวิธีช่วยเพิ่มพลังงาน และทำให้อารมณ์ดีได้ด้วย โดยการเดินเป็นระยะเวลา ๑๕ นาที จะช่วยเพิ่มพลังให้กับร่างกาย และการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังบ่อยๆ จะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากกว่าการออกกำลังกายเป็นเวลานานๆ แต่ทำเพียงเดือนละครั้ง รวมถึงมีผลการวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าการออกกำลังกายเป็นประจำช่วยลด อาการซึมเศร้า และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ซึ่งทำให้เรามีพลังมากขึ้น

          เรียกว่านอกจากการกินแล้ว ก็ลืมเรื่องออกกำลังกายไม่ได้จริงๆ

                                                                                                                ขอขอบคุณข้อมูลจาก 

สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ 

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เบกกิ้งโซดา


      เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium
Bicarbonate) มีลักษณะเป็นของแข็งสีขาว มีโครงสร้างเป็นผลึก
แต่ที่ขายตามร้านมักพบในรูปผงละเอียด

   
     สามารถใช้แทนน้ำยาทำความสะอาดได้หลากหลายอย่างปลอดภัย ไม่เป็นพิษ
และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แม้แต่หนังสือเก่าเก็บจนขึ้นราอยู่บนชั้นหนังสือ เบกกิ้งโซดาก็สามารถช่วยได้
โดย ทำหนังสือให้แห้ง แล้วโรยผงเบกกิ้งโซดาลงไประหว่างหน้าหนังสือ
ทิ้งไว้ 2-3 วัน จากนั้นปัดผงเบกกิ้งโซดาออก จะช่วยลดกลิ่นเหม็นอับจากเชื้อราได้
เพราะ เบกกิ้งโซดามีประสิทธิภาพในการดับกลิ่น และดูดความชื้น


วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หน้าที่ของ GIS ( How GIS Works )




หน้าที่ของ GIS ( How GIS Works )



      ภาระหน้าที่หลัก ๆ ของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ควรจะมีอยู่ด้วยกัน 5 อย่างดังนี้

1. การนำเข้าข้อมูล (Input)
    ก่อนที่ข้อมูลทางภูมิศาสตร์จะถูกใช้งานได้ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ข้อมูลจะต้องได้รับการแปลง ให้มาอยู่ในรูปแบบของข้อมูลเชิงตัวเลข (digital format) เสียก่อน เช่น จากแผนที่กระดาษไปสู่ข้อมูลใน รูปแบบดิจิตอลหรือแฟ้มข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ที่ใช้ในการนำเข้าเช่น Digitizer Scanner หรือ Keyboard เป็นต้น

2. การปรับแต่งข้อมูล (Manipulation)
    ข้อมูลที่ได้รับเข้าสู่ระบบบางอย่างจำเป็นต้องได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมกับงาน เช่น ข้อมูลบางอย่างมีขนาด หรือสเกล (scale) ที่แตกต่างกัน หรือใช้ระบบพิกัดแผนที่ที่แตกต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้จะต้องได้รับการปรับให้อยู่ใน ระดับเดียวกันเสียก่อน

3. การบริหารข้อมูล (Management)
    ระบบจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS จะถูกนำมาใช้ในการบริหารข้อมูลเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพในระบบ GIS DBMS ที่ได้รับการเชื่อถือและนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางที่สุดคือ DBMS แบบ Relational หรือระบบจัดการฐานข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (DBMS) ซึ่งมีหลักการทำงานพื้นฐานดังนี้คือ ข้อมูลจะถูกจัดเก็บ ในรูปของตารางหลาย ๆ ตาราง



4. การเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูล (Query and Analysis)
     เมื่อระบบ GIS มีความพร้อมในเรื่องของข้อมูลแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การนำข้อมูลเหล่านี่มาใช้ให้เกิด ประโยชน์ เช่น  ใครคือเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนที่ติดกับโรงเรียน ?   เมืองสองเมืองนี้มีระยะห่างกันกี่กิโลเมตร ?   ดินชนิดใดบ้างที่เหมาะสำหรับปลูกอ้อย ?   หรือ ต้องมีการสอบถามอย่างง่าย ๆ       เช่น ชี้เมาส์ไปในบริเวณที่ต้องการแล้วเลือก (point and click) เพื่อสอบถามหรือเรียกค้นข้อมูล นอกจากนี้ระบบ GIS ยังมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์เชิงประมาณค่า (Proximity หรือ Buffer) การวิเคราะห์เชิงซ้อน (Overlay Analysis) เป็นต้น หรือ ต้องมีการสอบถามอย่างง่าย ๆ เช่น ชี้เมาส์ไปในบริเวณที่ต้องการแล้วเลือก (point and click) เพื่อสอบถามหรือเรียกค้นข้อมูล นอกจากนี้ระบบ GIS ยังมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์เชิงประมาณค่า (Proximity หรือ Buffer) การวิเคราะห์เชิงซ้อน (Overlay Analysis) เป็นต้น



5. การนำเสนอข้อมูล (Visualization)
    จากการดำเนินการเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูล ผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ในรูปของตัวเลขหรือตัวอักษร ซึ่งยากต่อการตีความหมายหรือทำความเข้าใจ การนำเสนอข้อมูลที่ดี เช่น การแสดงชาร์ต (chart) แบบ 2 มิติ หรือ 3 มิติ รูปภาพจากสถานที่จริง ภาพเคลื่อนไหว แผนที่ หรือแม้กระทั้งระบบมัลติมีเดียสื่อต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้เข้าใจความหมายและมองภาพของผลลัพธ์ที่กำลังนำเสนอได้ดียิ่งขึ้น อีก ทั้งเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้ฟังอีกด้วย



วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เทคนิคและวิธีการนำเข้าข้อมูล




เทคนิคและวิธีการนำเข้าข้อมูล

          การนำเข้าข้อมูล (Input data) เป็นกระบวนการบันทึกข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์ การสร้างฐานข้อมูลที่ละเอียด ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติงานด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ซึ่งจำเป็นต้องมีการประเมินคุณภาพข้อมูล ที่จะนำเข้าสู่ระบบในเรื่องแหล่งที่มาของข้อมูล วิธีการสำรวจข้อมูลมาตราส่วนของแผนที่ ความถูกต้อง ความละเอียด พื้นที่ที่ข้อมูลครอบคลุมถึงและปีที่จัดทำข้อมูล เพื่อประเมินคุณภาพ และคักเลือกข้อมูลที่จะนำเข้าสู่ระบบฐานข้อมูล

การนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่ 
       
        สำหรับขั้นตอนการนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่อายทำได้หลายวิธี แต่ที่นิยมทำกันในปัจจุบันได้แก่ การดิจิไทซ์ (Digitize) และการกวาดตรวจ (Scan) ซึ่งทั้ง 2 วิธีต่างก็มีข้อดี และข้อด้อยต่างกันไปกล่าวคือการนำเข้าข้อมูลโดยวิธีกวาดตรวจจะมีความรวดเร็วและ ถูกต้องมากกว่าวิธีการเข้าข้อมูลแผนที่โดยโต๊ะดิจิไทซ์และเหมาะสำหรับงานที่มีปริมาณมาก แต่การนำเข้าข้อมูลโดยการดิจิไทซ์จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยกว่าและเหมาะสำหรับงานที่มีปริมาณน้อย
 การใช้เครื่องอ่านพิกัด (Digitizer) เป็นการแปลงข้อมูลเข้าสู่ระบบโดยนำแผนที่มาตรึงบนโต๊ะ และกำหนดจุดอ้างอิง (control point) อย่างน้อยจำนวน 4 จุด แล้วนำตัวชี้ตำแหน่ง (Cursor) ลากไปตามเส้นของรายละเอียดบนแผนที่
          การใช้เครื่องกวาดภาพ (Scanner) เป็นเครื่องมือที่วัดความเข้มของแสงที่สะท้อนจากลายเส้นบนแผนที่ ผลลัพธ์เป็นข้อมูลในรูปแบบแรสเตอร์ (raster format) ซึ่งเก็บข้อมูลในรูปของตารางกริดสี่เหลี่ยม (pixel) ค่าความคมชัดหรือความละเอียดมีหน่วยวัดเป็น DPI : dot per inch แล้วทำการแปลงข้อมูลแรสเตอร์ เป็นข้อมูลเวกเตอร์ ที่เรียกว่า Raster to Vecter conversion ด้วยโปรแกรม GEOVEC for Microstation หรือ R2V

การนำเข้าข้อมูลเชิงบรรยาย
       
        ข้อมูลเชิงบรรยายที่จำแนกและจัดหมวดหมู่แล้ว นำเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลด้วยแป้นพิมพ์ (Keyboard) สำหรับโปรแกรม PC ARC/Info จะจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของ dBASE ด้วยคำสั่ง Tables ส่วนโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลแบบ Relational data base ทั่วๆ ไปบนเครื่อง PC เช่น Foxpro, Access หรือ Excel จำเป็นต้องแปลงข้อมูลให้เข้าอยู่ในรูปของ DBF file ก่อนการนำเข้าสู่ PC ARC/Info



วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มารู้จัก " ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ "




ความหมายของคำว่า "ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ( Geographic Information System ) GIS"

     ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่     
บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเวลาได้ เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้าย ถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปลและสื่อความหมาย ใช้งานได้ง่าย 
 GIS เป็นระบบข้อมูลข่าวสารที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตร์อื่นๆ สภาพท้องที่ สภาพการทำงานของระบบสัมพันธ์กับสัดส่วนระยะทางและพื้นที่จริงบนแผนที่ ข้อแตกต่างระหว่าง GIS กับ MIS นั้นสามารถพิจารณาได้จากลักษณะของข้อมูล คือ ข้อมูลที่จัดเก็บใน GIS มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ที่แสดงในรูปของภาพ (graphic) แผนที่ (map) ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) หรือฐานข้อมูล
(Database)การเชื่อมโยงข้อมูลทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน จะทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะแสดงข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน เช่นสามารถจะค้นหาตำแหน่งของจุดตรวจวัดควันดำ - ควันขาวได้โดยการระบุชื่อจุดตรวจ หรือในทางตรงกันข้าม สามารถที่จะสอบถามรายละเอียดของ จุดตรวจจากตำแหน่งที่เลือกขึ้นมา ซึ่งจะต่างจาก MIS ที่แสดง ภาพเพียงอย่างเดียว โดยจะขาดการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับรูปภาพนั้น เช่นใน CAD (Computer Aid Design) จะเป็นภาพเพียงอย่างเดียว แต่แผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ คือค่าพิกัดที่แน่นอน ข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ (Geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่งจริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ สำหรับข้อมูล GIS ที่จะอ้างอิงกับข้อมูลบนพื้นโลกได้โดยทางอ้อมได้แก่ ข้อมูลของบ้าน(รวมถึงบ้านเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัสไปรษณีย์) โดยจากข้อมูลที่อยู่ เราสามารถทราบได้ว่าบ้านหลังนี้มีตำแหน่งอยู่ ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบ้านทุกหลังจะมีที่อยู่ไม่ซ้ำกัน

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การบ้าน ครั้งที่ 1


การบ้าน ครั้งที่ 1 





1.Spatial Distribution หมายถึง การกระจายเชิงพื้นที่ การที่พื้นที่เกิดการกระจายตัวเป็นบริเวณกว้างๆ เช่น การกระจายตัวของประชากรในอาณาเขตต่างๆ

2. Spatial Differentiation หมายถึง ความแตกต่างในเชิงพื้นที่ ในพื้นที่แต่ละพื้นที่จะมีลักษณะเฉพาะทางกายภาพที่แตกต่างกัน เช่น ความแตกต่างทางของภูมิประเทศ บริเวณที่เป็นพื้นที่ราบและ บริเวณภูเขา

3. Spatial Diffusion หมายถึง การแพร่กระจายในเชิงพื้นที่ เช่น การแพร่กระจายของเชื้อโรค จากที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง ที่อยู่ห่างออกไป โดยอาจอาศัยคนเป็นตัวพาหะในการแพร่กระจาย

4. Spatial Interaction หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ในเชิงพื้นที่ เป็นการกระทำร่วมกันของสองสิ่งที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องหรือกระทำร่วมกัน เช่น บริเวณที่มีป่าใหญ่ก็จะมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่เยอะ

5. Spatial Temporal หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของช่วงเวลาในเชิงพื้นที่ เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศในช่วงวันที่ 1-10 มิถุนายน

11/06/2555

องค์ประกอบของ GIS


องค์ประกอบของ GIS ( Components of GIS )

     องค์ประกอบหลักของระบบ GIS จัดแบ่งออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ ๆ คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) โปรแกรม (Software) ขั้นตอนการทำงาน (Methods) ข้อมูล (Data) และบุคลากร (People) โดยมีรายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบดังต่อไป
 
 1. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
 คือ เครื่องคอมพิวเตอร์รวมไปถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ เช่น Digitizer, Scanner, Plotter, Printer หรืออื่น ๆ เพื่อใช้ในการนำเข้าข้อมูล ประมวลผล แสดงผล และผลิตผลลัพธ์ของการทำงาน

 2. โปรแกรม
 คือชุดของคำสั่งสำเร็จรูป เช่น โปรแกรม Arc/Info, MapInfo ฯลฯ ซึ่งประกอบด้วยฟังก์ชั่น การทำงานและเครื่องมือที่จำเป็นต่าง ๆ สำหรับนำเข้าและปรับแต่งข้อมูล, จัดการระบบฐานข้อมูล, เรียกค้น, วิเคราะห์ และ จำลองภาพ

3. ข้อมูล
 คือข้อมูลต่าง ๆ ที่จะใช้ในระบบ GIS และถูกจัดเก็บในรูปแบบของฐานข้อมูลโดยได้รับการดูแล จากระบบจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS ข้อมูลจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญรองลงมาจากบุคลากร

4. บุคลากร
 คือ ผู้ปฏิบัติงานซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เช่น ผู้นำเข้าข้อมูล ช่างเทคนิค ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญสำหรับวิเคราะห์ข้อมูล ผู้บริหารซึ่งต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ บุคลากรจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในระบบ GIS เนื่องจากถ้าขาดบุคลากร ข้อมูลที่มีอยู่มากมายมหาศาลนั้น ก็จะเป็นเพียงขยะไม่มีคุณค่าใดเลยเพราะไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน อาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าขาดบุคลากรก็จะไม่มีระบบ GIS

5. วิธีการหรือขั้นตอนการทำงาน
 คือวิธีการที่องค์กรนั้น ๆ นำเอาระบบ GIS ไปใช้งานโดยแต่ละ ระบบแต่ละองค์กรย่อมีความแตกต่างกันออกไป ฉะนั้นผู้ปฏิบัติงานต้องเลือกวิธีการในการจัดการกับปัญหาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับของหน่วยงานนั้น ๆ เอง