ความคิดเปิดผนึก
วิวาทะว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
อนุวัฒน์ ชลไพศาล
ในฐานะที่ผมถูก “ฝึกหัด” ให้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ (คำกริยา “ฝึกหัด” (to
train) เป็นคำกริยาเดียวกันกับคำที่ใช้กับ นกที่ “ฝึกหัด” ให้เลือกจิกอาหาร หรือ สุนัขที่ “ฝึกหัด” ให้ยืนด้วย 2 ขาหลังแล้วจะได้รับรางวัล)
ผมเคยเชื่อเสมอว่า การเพิ่มพูนการค้าระหว่างประเทศจะนำมาซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
แต่ปัจจุบัน ผมเริ่มลังเลใจ
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ในฐานะนักเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์เราเชื่อว่า
เมื่อแต่ละประเทศมีความถนัดในการผลิตสินค้าแต่ละชนิดไม่เท่ากัน ดังนั้น
ถ้าให้แต่ละประเทศผลิตสินค้าที่ตนถนัดมากที่สุด แล้วนำมาค้าขายกัน จะทำให้ทุกประเทศมีสินค้าและบริการให้บริโภคเพิ่มขึ้น
ซึ่งเท่ากับ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
(แต่จะเท่ากับมีความสุขเพิ่มขึ้นหรือไม่เป็นอีกเรื่องที่เถียงกันได้)
นโยบายการค้าระหว่างประเทศโดยเสรีจะทำให้ประชากรโลกมีสินค้าและบริการให้บริโภคมากกว่าที่จะให้แต่ละประเทศผลิตสินค้าทุกชนิดแล้วไม่ค้าขายกัน
(สมมติให้โลกประกอบด้วยประเทศ 2 ประเทศ คือ A และ B แต่ละประเทศเลือกผลิตสินค้า 2 ชนิด คือ X และ Y
โดยประเทศ A ผลิตสินค้า X เก่งกว่า (ใช้ปัจจัยการผลิตน้อยกว่า) ประเทศ B และ
ประเทศ B ผลิตสินค้า Y เก่งกว่าประเทศ A
หากเราให้ประเทศ A ผลิตแต่สินค้า X และประเทศ B ผลิตแต่สินค้า Y แล้วมาค้าขายกัน
จะทำให้โลกมีสินค้า X และ Y ให้บริโภคมากกว่าที่จะให้ประเทศ
A และ B ผลิตทั้งสินค้า X และY) นักเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์คุ้นๆ ไหมครับ ความข้างต้นยังเป็นจริงแม้ในกรณีที่ประเทศ A
จะผลิตทั้งสินค้า X และ Y เก่งกว่าประเทศ B นักเศรษฐศาสตร์ขนานนามปรากฏการณ์
(หรือความเชื่อ) ดังกล่าวว่า “ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ”
(Comparative Advantage) แบบจำลองง่ายๆ ข้างต้น มีผลซับซ้อน
ผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายใช้ลำดับเหตุผลจากแบบจำลอง
ในการสนับสนุนนโยบายการเปิดเสรีการค้าขายกับต่างประเทศ, การเจรจาเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศ
(FTA), ส่งเสริมผู้ผลิตสินค้า OTOP ในการส่งออก
โดยเชื่อว่า นโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ดีเท่ากับนโยบายการค้าเสรี
เพราะจะนำมาซึ่งสินค้าและบริการให้บริโภคเพิ่มขึ้นและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ คนส่วนใหญ่ใช้ลำดับเหตุผลข้างต้น “ปิดปาก” คนส่วนน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการค้าเสรีระหว่างประเทศ
และ “ขับไล่” คนที่ไม่เห็นด้วยดังกล่าวไปเป็นฤษีชีไพรในป่าที่ไม่เห็นประโยชน์จากการติดต่อค้าขายกับผู้คน ผมเห็นว่า ลำดับเหตุผลจากแบบจำลองง่ายๆ
ข้างต้นสามารถอธิบายว่า เหตุใดสังคมปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะตีความพฤติกรรมการเก็บตัว
ไม่สุงสิงกับใครในระดับปัจเจกว่า เป็นเรื่องผิดปรกติ (ก็คนปรกติเขาต้องเข้าสังคม
และ นโยบายการค้าปรกติเท่ากับนโยบายการค้าเสรีไงครับ) อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านที่มีความละเอียดลออ (Rigorous)
ก็ไม่ควรหลงเชื่ออะไรง่ายๆ โดยปราศจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (Empirical
Evidence) มาพิสูจน์ความเชื่อ
ความเชื่อเรื่องการเพิ่มพูนของการค้าระหว่างประเทศจะนำมาซึ่งความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
เป็นวิวาทะในวงการเศรษฐศาสตร์ระหว่าง World Bank (1993) และ Cline
(1982) ด้านหนึ่ง World
Bank (1993)
อธิบายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกระหว่างปี 2508-2533
ว่า เกิดจากการที่รัฐบาลในเอเชียตะวันออกดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ “เป็นมิตรกับตลาด” (Market Friendly) โดยปัจจัยสำคัญอันนำมาซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
คือ การส่งออก (Export as an Engine of Growth) งานวิจัยของธนาคารโลกฉบับนี้ยังเสนอคำแนะนำต่อว่า
ประสบการณ์ความสำเร็จจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออก
ควรเป็นแบบจำลองของยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ (Development Model) ที่กลุ่มประเทศยากจนต่างๆ ควรดำเนินรอยตาม อีกด้านหนึ่ง
งานวิจัยจำนวนไม่น้อยตั้งข้อสงสัยว่า
สหสัมพันธ์ระหว่างการส่งออกและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีมากน้อยเพียงใด และ
การส่งออกเป็นปัจจัยกำหนดการเจริญเติบโต หรือ เป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม Cline (1982) เสนอว่า
คำแนะนำของธนาคารโลกที่ต้องการให้กลุ่มประเทศยากจนต่างๆ
ใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมโดยเน้นการส่งเสริมการส่งออก (Export-Orientation
Strategy) เป็นความหลงผิดในการใช้เหตุผล ที่เรียกว่า “Fallacy
of Composition” เพราะ
ยุทธศาสตร์การพัฒนาโดยเน้นการส่งเสริมการส่งออกจะประสบผลสำเร็จ ก็ต่อเมื่อ
มีบางประเทศที่ใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาดังกล่าวเท่านั้น
แต่หากทุกประเทศใช้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการส่งออกแบบเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน
จะทำให้โลกประสบภาวะปริมาณการผลิตสินค้าล้นเกิน และ
การกีดกันการค้าระหว่างประเทศ
พูดอีกนัยหนึ่ง คำแนะนำเรื่องยุทธศาสตร์การพัฒนาโดยเน้นการส่งออกของธนาคารโลกเป็นคำแนะนำที่นำไปสู่การ
“ทำลายตนเอง” (ใช้ศัพท์ฝ่ายซ้าย)
เพราะข้อแนะนำในเบื้องแรกที่หวังให้ทุกประเทศมีนโยบายการค้าเสรีระหว่างประเทศ
จะนำมาซึ่งนโยบายการกีดกันการค้าในท้ายที่สุด
งานศึกษาใหม่ๆ ในประเด็นวิวาทะนี้ อาทิ Hallak and Levinsohn (2004) เสนอประเด็นเพิ่มเติม คือ หนึ่ง
ผลของงานศึกษาเชิงประจักษ์ในอดีตไม่สามารถสรุปว่า
การเพิ่มพูนการค้าระหว่างประเทศเป็นเหตุทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเสมอไป สอง
วิธีการศึกษาในอดีตโดยการหาสหสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างปริมาณการค้า, ระดับการเปิดประเทศ (Degree of Openness) กับ
อัตรการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
มักประสบปัญหาไม่สามารถระบุว่าตัวแปรใดเป็นเหตุหรือเป็นผล (Causality
Problem) และงานศึกษาเชิงประจักษ์ในอดีตจำนวนมากก็ขาดการนำตัวแปรที่ครบถ้วนร่วมพิจารณาในการศึกษา
เช่น ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ และสถาบัน เป็นต้น ทำให้ผลการศึกษาไม่น่าเชื่อถือ
ทั้งยังไม่เกิดประโยชน์ในการกำหนดนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เหมาะสม Hallak and Levinsohn (2004)
เสนอว่า
งานศึกษาในอนาคตนอกจากต้องแก้ปัญหาอันเนื่องมาจากวิธีการศึกษาที่บกพร่องข้างต้น
ยังต้องตั้งคำถามของการศึกษาให้เล็กลงกว่าเดิม เช่น
ผลของนโยบายการค้าเสรีต่อสินค้า X หรือ Y ไม่ใช่ ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ A หรือ
B ดังเช่นแต่ก่อนในยุคที่รัฐบาลใช้ความเชื่อเรื่องประโยชน์จากการเพิ่มพูนการค้าเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเจรจาเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศดังเช่นปัจจุบัน
ผมเห็นว่า เราควรตั้งข้อสงสัยต่อความเชื่อที่ว่า
การเพิ่มพูนการค้าระหว่างประเทศจะนำมาซึ่งความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเสมอ
และแม้ว่า ความเชื่อดังกล่าวจะถูกพิสูจน์ด้วยหลักฐานว่าเป็นจริง เราก็ควรทบทวนว่า
สังคมจะมีวิธีการจัดสรรผลประโยชน์และต้นทุนจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแก่สมาชิกในสังคมอย่างไร
และท้ายสุด เราควรตั้งคำถามด้วยว่า
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจเพียงหนึ่งเดียวที่เราควรมุ่งไปหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น