วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เศรษฐีเพย์พาล เล็งสร้างยานความเร็วสูง “ไฮเปอร์ลูป“ เร็วกว่ารถไฟไฮสปีด

เศรษฐีเพย์พาล เล็งสร้างยานความเร็วสูง “ไฮเปอร์ลูป“ เร็วกว่ารถไฟไฮสปีด
มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง "เพย์พาล" เปิดโครงการคิดค้นยานความเร็วสูง "ไฮเปอร์ลูป" ที่จะทำให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางจากลอสแอนเจลิสไปยังซานฟรานซิสโกได้ในเวลา แค่ 30 นาที
นายเอลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจชำระเงินทางอินเทอร์เน็ตที่มีชื่อว่า เพย์พาล เปิดเผยระบบขนส่งความเร็วสูงสำหรับอนาคตนี้ว่า เกิดความคิดนี้เมื่อได้อ่านเรื่องโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูงของรัฐแคลิฟอร์เนียและรู้สึกผิดหวัง เนื่องจากพิจารณาดูแล้ว เดินทางด้วยเครื่องบินยังจะถึงเร็วกว่าและสะดวกมากกว่า พร้อมกับระบุว่ายานไฮเปอร์ลูปจะเป็นคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางในระยะไม่เกิน1,600 กิโลเมตร โดยใช้เวลาน้อยที่สุด เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด แถมยังปลอดภัยที่สุดอีกด้วย
ยานไฮเปอร์ลูปนี้จะเป็นแคปซูลที่ สามารถเดินทางด้วยความเร็วสูงไปภายในท่อที่เชื่อมต่อระหว่างต้นทางไปยังจุด หมายปลายทางต่างๆโดยอาศัยแรงกดอากาศทั้งสูงและต่ำภายในท่อและภายในแคปซูลยัง มีระบบหยุดฉุกเฉิน กับระบบสำรองอากาศในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น
สำหรับค่าก่อสร้างทั้งระบบมีมูลค่าราว 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะการขนส่งผู้โดยสาร แต่หากขนส่งสินค้าด้วย จะต้องเพิ่มเป็น 5,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้เวลาในการก่อสร้างราว 7 ปี โดยตนจะลงมือก่อสร้างแคปซูลต้นแบบเอง
นายมาร์ติน อาร์เชอร์ จากสถาบันอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน เผยว่าแนวความคิดของนายมัสก์มีความเป็นไปได้สูง เพราะจากผลสำเร็จของนายมัสก์ที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เขาทำความฝันให้เป็นความจริงสำเร็จมาแล้ว เช่น การสร้างรถยนต์ไฟฟ้าให้มีความเร็วสูงได้สำเร็จ และยังสร้างจรวดให้แก่องค์การนาซ่าอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นายมัสก์กล่าวว่า ไม่สงวนสิทธิที่คนอื่นจะนำเอาไอเดียของตนไปทำ เพราะตนยังคงปักหลักอยู่กับการผลิตรถไฟฟ้าและจรวดอยู่ต่อไป

เพิ่มฟังก์ชั่นบ้านไซส์เล็ก ตอบโจทย์มนุษย์เงินเดือน



เพิ่มฟังก์ชั่นบ้านไซส์เล็ก ตอบโจทย์มนุษย์เงินเดือน
วิกฤติหรือโอกาส "คนสร้างบ้าน" ในสถานการณ์ปัจจุบัน กับการปรับขนาดให้เล็ก แต่เพิ่มฟังก์ชั่น ดีไซน์การใช้งานเต็มพื้นที่ และเทคโนโลยีสำเร็จรูป พรีแฟบ แก้ปัญหาแรงงานขาดได้ถาวรหรือไม่

นี่เป็นโอกาสของผู้ที่กำลังต้องการจะสร้างบ้าน ในช่วงครึ่งปีหลัง 2556 ไปจนถึงปลายปี เนื่องจากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจ อยู่ในภาวะชะลอตัวจากปัจจัยรอบด้าน และมีแรงงานเข้าสู่ระบบมากขึ้น ประกอบ
กับในขณะนี้ราคาบ้านในตลาดค่อนข้างนิ่งและเป็นราคาที่เหมาะสม แต่อย่างไรก็ตามปีหน้าคาดว่าวิกฤติแรงงานจะกลับมาอยู่ในภาวะวิกฤติอีกครั้งหากสถาน-การณ์ทางเศรษฐกิจมีการขยายตัว ซึ่งแน่นอนว่าราคาบ้านจะต้องปรับสูงขึ้นตาม และหากจะให้ราคาบ้านกลับมาถูกเหมือน เดิมคงเป็นไปได้ยาก

นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ กล่าวถึง การวางกลยุทธ์ ทางการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ว่ายังคงเน้นทำตลาดครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกเซ็กเมนต์ตามนโย-บายหลักของบริษัทแต่จะวางกลยุทธ์เพิ่มเติมในส่วนของเป้าหมายให้
บริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ขึ้นเป็นเจ้าตลาดรับสร้างบ้านขนาดเล็กในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันตลาดรับสร้างบ้านในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านนั้น ยังมีความ ต้องการในส่วนของผู้บริโภคอยู่เป็นจำนวน มาก

แต่มีบริษัทและผู้ประกอบการรับสร้างบ้านในกลุ่มนี้น้อยมาก ด้วยเหตุนี้กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ จึงมีความต้องการที่จะเข้าไปเพิ่มแชร์ในส่วนนี้ให้มากขึ้น ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจในเทคโนโลยีและ
ระบบการก่อสร้างของกลุ่มบริษัทว่าจะสามารถ บริการได้อย่างมีคุณภาพและราคาไม่แพง และด้วยศักยภาพในการก่อสร้างบ้านด้วยระบบสำเร็จรูป พร้อมทั้งการดีไซน์แบบบ้านสมัยใหม่จึงเชื่อว่าจะตรงใจ

"ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบบนพื้นที่การปลูกสร้างขนาดเล็ก โดยมีดีไซน์บ้านที่หลากหลายมากกว่า 20 แบบ ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อการผลักดันบริษัทให้เป็นเจ้าตลาดบ้านขนาดเล็กได้ไม่ยาก"

สำหรับเป้าหมายของ บิวท์ ทู บิวด์ ในปี 2556 หลังจากที่ได้มีการปรับเป้าหมายทางการตลาดตามสภาวะเศรษฐกิจแล้ว เพราะในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาขาย ได้น้อยกว่าช่วงครึ่งปีหลัง ด้วยสัดส่วนประมาณ 40% ครึ่งปีหลังจึงคาดว่าจะมีสัดส่วนประมาณ 60% รวมทั้งปี 800 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำได้ 300 ล้านบาทแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยและวิกฤติแรงงานส่งผลทำให้ต้นทุนก่อสร้างโดยรวมปรับสูงขึ้นอย่างแน่นอนซึ่งมีผลต่อราคาที่อยู่อาศัยทางผู้ประกอบการส่วนใหญ่จำเป็นต้องปรับราคาบ้านให้สูงขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

"ตนในฐานะ "คนสร้างบ้าน" มองว่าการปรับราคาบ้านโดยการผลักภาระให้กับผู้บริโภคก็เป็นทางออกทางหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะหากจะสามารถ ยืนอยู่ท่ามกลางวิกฤติดังกล่าวได้นั้น .
ผู้ประกอบการจะต้องพยายามบริหารและควบคุมต้นทุนให้ต่ำที่สุดและเวลาเดียว กันต้องเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพงานให้สอดคล้องกับต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น"

ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องเรียนรู้และใส่ใจความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าผู้บริโภคมีการแสวงหาความรู้ ข้อมูล รวมทั้งแลกเปลี่ยน
ความรู้รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งกันและกันได้จากอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นช่องทางที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบันอย่างมาก ผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัวทั้งด้าน กลยุทธ์และด้านนโยบายในการประกอบธุรกิจอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจต่อผู้บริโภคมากที่สุด

ทางออกของการแก้ปัญหาดังที่กล่าวในส่วนของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ได้ใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างบ้านด้วยระบบสำเร็จรูป (พรีแฟบ) ช่วยคลี่คลายปัญหาแรงงานให้ใช้แรงงานน้อยลง สามารถสร้างบ้านได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังลดค่าก่อสร้าง ให้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น


วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เตรียมทุ่ม 3 พันล้าน สร้างหมอชิตใหม่ เล็งย่านเมืองทอง-ดอนเมือง-รังสิต

นายสมชัย ศิริวัฒนโชค อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บ.ข.ส.) กล่าวว่า สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิตแห่งที่ จะต้องย้ายออกจากพื้นที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันอย่างแน่นอน เนื่องจากการใช้พื้นที่เต็มศักยภาพไม่สามารถขยายออกไปได้อีก สถานีแห่งใหม่จะทำเป็นระบบปิดเหมือนสนามบิน ให้เฉพาะคนที่มีตั๋วเท่านั้นที่สามารถเข้าไปพื้นที่ด้านในก่อนที่จะขึ้นรถโดยสารได้ นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บ.ข.ส. กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ดครั้งล่าสุด ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด คือ
 1.คณะกรรมการพิจารณาเรื่องการย้ายสถานีขนส่งหมอชิตใหม่
 2.คณะกรรมการหาพื้นที่ ให้เวลา 90 วัน คือ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป คาดว่าจะสรุปรายละเอียดที่ชัดเจนได้ประมาณเดือนกันยายน หลังจากนั้นจึงจะนำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป โดยจะใช้วงเงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท อยู่ภายใต้กรอบการดำเนินงานระหว่าง 3-5 ปี
 นายวุฒิชาติกล่าวว่า การหาพื้นที่จะนำผลการศึกษาเดิมที่เคยศึกษาไว้ก่อนหน้านี้มาพิจารณาด้วย คือ พื้นที่ย่านเมืองทองธานี ย่านดอนเมือง และย่านรังสิต โดยสถานีขนส่งแห่งใหม่จะใช้พื้นที่ประมาณ 120-150 ไร่ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากได้ประเมินไว้แล้วว่าภายหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจาก 30 ล้าน เป็น 60 ล้านคนต่อปี
 นายวุฒิชาติกล่าวว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานอาจจะเป็นการลงทุนของ บขส.เอง หรืออาจจะใช้วิธีร่วมทุน ขึ้นอยู่กับการพิจารณา ส่วนพื้นที่เดิมได้ขอให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) พิจารณาหาพื้นที่ให้ประมาณ 30 ไร่ เพื่อเตรียมไว้ให้บริการรถโดยสารของ บขส.ในระยะสั้นด้วย ขณะที่รายได้ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 ล้านบาท กำไร 200 ล้านบาท

ราคาที่ดินตราดพุ่งรับท่องเที่ยวโต

           ชายทะเลเกาะกูดไร่ละ15ล.-ซิกส์เซ้นต์ผุดรร.6ดาวท่องเที่ยว-ค้าชายแดนเมืองตราดรุ่ง ดันราคาที่ดินพุ่งไม่หยุด เกาะช้าง-เกาะกูดมาแรงไร่ละ 15 ล้าน ทุนใหญ่แห่สร้างโรงแรม รีสอร์ต "กลุ่มซิกส์เซ้นต์" ทุ่มทุนสร้างโรงแรมหรู 6 ดาวรับกลุ่มนักท่องเที่ยวไฮเอนด์นาวาเอกสมบัติ บุญเกิดพานิช อดีตนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดตราด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภาวะการท่องเที่ยวที่สดใสส่งผลให้ราคาที่ดินในพื้นที่พุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยราคาที่ดินเกาะช้างโซนตะวันตกซึ่งมีชายหาดยาวตลอดทั้งโซน ราคาซื้อ-ขายไร่ละ 10-12 ล้านบาท ส่วนบริเวณที่มีชายหาดน้อยแต่บรรยากาศเงียบสงบ มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ท่าเรือยอชต์มารีน่าส่วนตัว ราคาที่ดินเฉลี่ยไร่ละ 5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไร่ละ 3 ล้านบาทเมื่อ 2 ปีก่อน ทำให้นักลงทุนสนใจมาลงทุนสร้างรีสอร์ตและโรงแรมอย่างต่อเนื่อง
       สำหรับเป้าหมายของนักลงทุนในปัจจุบัน ต้องการเข้ามาสร้างบ้านพักหรูรองรับกลุ่มไฮเอนด์ที่ต้องการพักผ่อนในระยะยาว ล่าสุดกลุ่มธุรกิจซิกส์เซ้นต์เจ้าของโรงแรมเอวาซอนโซเนวา เกาะกูด เข้ามาลงทุนก่อสร้างโรงแรมหรูระดับ 6 ดาว คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการปลายปีนี้
       ด้านนายทองทศ ทศดารา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ต.เกาะกูด อ.เกาะกูด จ.ตราด กล่าวว่า ปัจจุบันราคาที่ดินพื้นที่เกาะกูดขยับสูงขึ้นมาก เพราะนักลงทุนสนใจเข้ามาสร้างรีสอร์ตและโรงแรมเช่นกัน โดยเฉพาะที่ดินติดชายทะเลบริเวณหาดตะเคียนราคาไร่ละ 7 ล้านบาท คลองหินดำไร่ละ 4 ล้านบาท ส่วนบริเวณอ่าวตาอู๋ ตรงข้ามเกาะไม้ซี้ราคาขยับสูงขึ้นถึงไร่ละ 15 ล้านบาท  ขณะที่นายประเสริฐ สำราญจิตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ่อพลอย อ.บ่อไร่ จ.ตราด กล่าวว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินในพื้นที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากไร่ละ 4 แสนบาท เป็น 1 ล้านบาท  ขณะที่ในเขตเทศบาลบ่อพลอยสูงถึงไร่ละ 3-5 ล้านบาท โดยผู้เข้ามาซื้อที่ดินส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากจังหวัดชลบุรีและระยองเข้ามาสร้างโรงงานรับซื้อผลไม้ ร้านค้า ห้องพัก รวมทั้งบ้านพัก นอกจากนี้ ราคาที่ดินที่สูงขึ้นยังเป็นผลมาจากนโยบายรัฐบาลที่เตรียมเปิดเนิน 400 เป็นจุดผ่านแดนถาวร เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีระยะทางห่างจากชายแดนเชื่อมต่อประเทศกัมพูชาเพียง 10-18 กิโลเมตรเท่านั้น
      เช่นเดียวกับพื้นที่อำเภอเมืองตราด แหล่งข่าวจากเทศบาลตำบลแหลมกลัดระบุว่า ราคาที่ดินในเขตตำบลชำราก และตำบลแหลมกลัด ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนบ้านท่าเส้น 10-12 กิโลเมตร และเตรียมประกาศเป็นจุดผ่านแดน ราคาที่ดินซื้อขายกันไร่ละ 4-5 แสนบาท และคาดว่าการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 น่าจะขยับสูงขึ้นไร่ละ 1-1.8 ล้านบาท
     เนื่องจากรองรับการเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านท่าเส้น และเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมต่อกับจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ ซึ่งติดต่อกับชายแดนเกาะกงของประเทศกัมพูชา และเชื่อมต่อกับประเทศเวียดนามตามเส้นทางสาย R10
    แหล่งข่าวจากผู้ซื้อที่ดินกล่าวว่า ราคาที่ดินบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ ติดถนนสายหลักซื้อไว้เมื่อปีที่แล้วราคาไร่ละ 4 แสนบาท แต่ปัจจุบันมีการจัดสรรพื้นที่ขนาด 30 ไร่ ตั้งราคาขายอยู่ที่ไร่ละ 1 ล้านบาท

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผลวิจัยชี้รายใหญ่รุกอสังหาฯภูเก็ต เปลี่ยนทิศทางการลงทุน-กลุ่มลูกค้า

ผลวิจัยชี้รายใหญ่รุกตลาดภูเก็ต เปลี่ยนทิศทางการลงทุน-กลุ่มลูกค้า

ซีบีริชาร์ดเผยผลวิจัยตลาดภูเก็ต ชี้อสังหาฯ รายใหญ่จาก กทม.รุกตลาดภูเก็ตเต็มสูบ พลิกโฉมอสังหาฯ ภูเก็ตระยะสั้นและยาว ทั้งด้านผู้ลงทุนและผู้ซื้อ ระบุแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยขนาด-ราคาลดลง เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดพัทยา และหัวหิน ย้ำความต้องการซื้อลูกค้าคนไทยขยายตัวสูงขึ้น เชื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจะส่งผลให้อสังหาฯ ภูเก็ตเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
นายเดวิด ซีมิสเตอร์ ประธานซีบีริชาร์ด เอลลิส ประเทศไทย จำกัด (CBRE) เปิดเผยว่า จากการจัดเก็บข้อมูลและวิจัยตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต พบว่า การเข้าไปลงทุนของผู้ประกอบการจากรายใหญ่จาก กทม. เช่น แสนสิริ และศุภาลัย เข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยโครงการในช่วงแรกๆ ของผู้ประกอบการดังกล่าวมุ่งเน้นที่ตลาดระดับเริ่มต้นที่มีฐานตลาดกว้าง และได้รับความสำเร็จอย่างสูงทันที สามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ในระยะเวลาอันสั้นโดยมีฐานลูกค้าชาวไทยเป็นหลัก
ทั้งนี้ ความสำเร็จของโครงการดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการอีกหลายรายเริ่มเห็นถึงความเป็นไปได้ของการพัฒนาโครงการในภูเก็ตที่มีรูปแบบที่คล้ายโครงการในหัวหิน และพัทยา ที่สามารถดึงดูดทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ รูปแบบที่กล่าวคือ ที่พักอาศัยมีขนาดเล็กลง และราคาขายต่อห้องหรือต่อหลังถูกลงอย่างมาก ซึ่งเชื่อว่าเป็นการเริ่มต้นของการเกิดตลาดใหม่ที่มีความยั่งยืนในภูเก็ต
อย่างไรก็ตาม หลังจากการเข้ามาของ แสนสิริ และศุภาลัยแล้ว ยังมีอีกหลายๆ บริษัทจาก กทม. ที่เข้ามาลงทุนเพิ่ม เช่นในช่วงปลายปี 2555 บริษัท ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล จำกัด (มหาชน) ได้เปิดโครงการลากูน่า ชอร์ส ที่เป็นส่วนหนึ่งของลากูน่า ภูเก็ต โครงการห้องชุดขนาดเริ่มต้น 42 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 47% โดยลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติ
ขณะที่ไตรมาสแรกของปีนี้ แสนสิริ ได้เปิดตัวโครงการบ้านไม้ขาว คอนโดมิเนียม ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฐานลูกค้าของแสนสิริ ล่าสุด มีการเปิดตัวโครงการ อมารี เรสซิเดนส์ ภูเก็ต เป็นโครงการที่พักอาศัยระดับหรู ตั้งอยู่บนทำเลอ่าวป่าตอง พัฒนาโครงการโดย บริษัท อมารี เอสเตท จำกัด
นายเดวิด กล่าวว่า การเปิดโครงการใหม่เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของตลาดภูเก็ต เพราะเป็นโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการไทยที่มีความน่าเชื่อถือ นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงในเรื่องผู้ประกอบการแล้ว ตลาดที่พักอาศัยภูเก็ตยังมีการปลี่ยนแปลง ในกลุ่มลูกค้าซึ่งมีสัดส่วนของคนไทยเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ นักลงทุนชาวไทยที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นยังกำลังมองหาโอกาสการลงทุนที่นอกเหนือไปจากตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ และภูเก็ตก็เป็นทางเลือกที่เหมาะอย่างยิ่ง เพราะเป็นตลาดที่มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากที่สุด รองจากกรุงเทพฯ แม้ว่าสัดส่วนผู้ซื้อชาวไทยในภูเก็ตจะน้อยกว่าในหัวหิน และพัทยา แต่การที่มีผู้ซื้อชาวไทยในภูเก็ตเพิ่มขึ้นนับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
จากแนวโน้มดังกล่าว CBRE คาดการณ์ว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่อื่นๆ จะเริ่มเข้าสู่ตลาดที่พักอาศัยภูเก็ตมากขึ้น โดยการเปิดโครงการขนาด 1 ห้องนอน ที่มีขนาดเล็กลง ราคาต่อห้องโดยทั่วไปจะใกล้เคียงกับตลาดพัทยา และหัวหิน แต่เนื่องจากภูเก็ตมีลักษณะเป็นเกาะซึ่งมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ ทำให้ซัปพลายในอนาคตที่มีปริมาณจำกัด

สำหรับในปี 2556 นี้ เชื่อว่าตลาดที่พักอาศัยในภูเก็ตระดับเริ่มต้นต่ำกว่า 10 ล้านบาท ทั้งคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ให้เช่าระยะยาว และวิลลาขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ด้านในของเกาะจะยังคึกคัก ในขณะที่ตลาดวิลลาระดับลักชัวรี ราคาระหว่าง 125-250 ล้านบาทต่อหลัง จะยังคงเติบโตได้ดีในระยะยาว นอกจากความน่าสนใจของโครงการใหม่ๆ แล้ว ตลาดรีเซลส์ในภูเก็ตยังอยู่ช่วงขาขึ้นทั้งในด้านปริมาณลูกค้าที่สนใจ และด้านยอดขาย

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กลุ่มบริษัทชาญอิสสระ จับมือ กลุ่มไทยพาณิชย์ จัดตั้งกองทุนรวมอสังหาฯโรงแรมศรีพันวา

กลุ่มบริษัทชาญอิสสระ จับมือ กลุ่มไทยพาณิชย์ จัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา พร้อมร่วมรับประกันรายได้ค่าเช่าคงที่อย่างน้อย 5 ปีแรก

นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมที่จะออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประเภทลงทุนในกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ (Freehold) เพิ่มอีก 1 กองทุน

ด้วยความร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้รับประกันการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุน

โดยใช้ชื่อ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา หรือ SPWPF เพื่อลงทุนในโครงการโรงแรมศรีพันวา จังหวัดภูเก็ต ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ระดับหรูหรา ซึ่งประกอบด้วยบ้านพักแบบวิลล่าพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว จำนวน 38 ยูนิต และห้องพักเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว จำนวน 7 ยูนิต

ทั้งนี้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา จะลงทุนครั้งแรกในกรรมสิทธิ์โครงการโรงแรมศรีพันวาจาก บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด อันประกอบด้วยที่ดินพื้นที่ประมาณ 21 ไร่ 2 งาน 55 ตารางวา อาคารและสิ่งปลูกสร้าง พร้อมซื้อเฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือและอุปกรณ์ และงานระบบต่างๆของโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์

นางโชติกากล่าวว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ SPWPF ซึ่งมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ที่กำหนดจ่ายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง จะนำทรัพย์สินที่จะเข้าลงทุนให้เช่าแก่บริษัท ศรีพันวา แมเนจเมนท์ จำกัด (บริษัทซึ่งมีบริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 99.99%) ภายใต้สัญญาเช่าระยะเวลา 15 ปี

โดยคิดค่าเช่าคงที่ในสัดส่วนสูงของรายได้ทั้งหมดตลอดระยะเวลาของสัญญาเช่า โดย 5 ปีแรกค่าเช่าคงที่เริ่มที่ 151 ล้านบาท ทั้งนี้ตั้งแต่ปีที่ 6 เป็นต้นไป จะมีการปรับเพิ่มขึ้นของค่าเช่าคงที่ 10% ทุกๆ 3 ปี และภายหลังจากปีที่ 10 (ปีที่ 11-15) กองทุนรวมยังมีโอกาสที่จะได้รับค่าเช่าแปรผันเพิ่มเติมตามที่กำหนดในสัญญา

โดยโครงสร้างรายได้ค่าเช่านี้จะส่งผลให้กองทุนรวมมีรายได้ที่แน่นอนและสม่ำเสมอ นอกจากนี้การรับประกันรายได้ค่าเช่าคงที่โดยบริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด และบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) จะเพิ่มความมั่นใจให้แก่กองทุนรวมอย่างน้อย 5 ปีแรกนับตั้งแต่วันที่กองทุนรวมลงทุนทรัพย์สิน

ด้านนายสงกรานต์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการนำโครงการโรงแรมศรีพันวาซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการของกลุ่มบริษัทชาญอิสสระ เข้ามาร่วมจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในครั้งนี้เนื่องจากมองเห็นศักยภาพในอนาคต เพราะโครงการโรงแรมศรีพันวาเป็นทรัพย์สินที่มีความโดดเด่นในทำเลที่ตั้ง โดยตั้งอยู่บนแหลมพันวา จ. ภูเก็ต ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย ทั้งยังมีลักษณะเฉพาะตัว รวมถึงมีโอกาสค่อนข้างสูงที่มูลค่าที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการโรงแรมศรีพันวาจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตเพราะปัจจุบันที่ดินที่มีลักษณะเดียวกันกับที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการโรงแรมศรีพันวามีอยู่อย่างจำกัด

ส่วนนายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด กล่าวว่า โครงการโรงแรมศรีพันวา ได้เปิดดำเนินงานครบทั้งในส่วนธุรกิจโรงแรมและธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์เป็นเวลาประมาณ 3 ปี ตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 โดยโครงการโรงแรมศรีพันวามีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของรายได้รวมที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2553-2555 อยู่ที่ประมาณ 23.9% และในส่วนของอัตราการเข้าพักเฉลี่ยก็มีการเติบโตที่ต่อเนื่องเช่นกัน โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2556 ที่ผ่านมานั้นอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงถึง 55.7% โดยเพิ่มขึ้นถึง 11% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

สำหรับการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมระดับหรูหราใน จ.ภูเก็ต มีค่อนข้างต่ำ เนื่องจากจำนวนโรงแรมในระดับเดียวกันมีอยู่จำกัด และการเข้าสู่ตลาดของคู่แข่งรายใหม่เป็นไปได้ยาก เพราะเป็นธุรกิจที่มีต้นทุนสูงและต้องการความชำนาญของผู้บริหารเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันกลุ่มลูกค้าของธุรกิจโรงแรมระดับหรูหราซึ่งมีลักษณะเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ซึ่งมีกำลังซื้อสูงและมักจะได้รับผลกระทบน้อยจากความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจนั้นมีแนวโน้มที่จะขยายตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ จีน รัสเซีย อินเดีย ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของโครงการโรงแรมศรีพันวา

ส่วนนางสาววรดา ตั้งสืบกุล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายวาณิชธนกิจ 2 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ SPWPF มีจำนวนเงินทุนโครงการอยู่ที่ 2,001.83 ล้านบาท ราคาเสนอขายอยู่ที่ 10.00 บาทต่อหน่วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. และคาดว่าพร้อมเสนอขายประมาณเดือนกรกฏาคมนี้ โดยสามารถจองซื้อผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ ทุกสาขา ด้วยจำนวนจองซื้อขั้นต่ำ 5,000 หน่วย และเพิ่มเป็นทวีคูณของ 1,000 หน่วย โดยการจัดสรรหน่วยให้นักลงทุนทั่วไปจะจัดสรรในรูปแบบ Small Lot First ตามเกณฑ์การจัดสรรที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แนวทางการลงทุน หุ้น...ผลตอบแทนสูง


หุ้น...ผลตอบแทนสูง ตลาดหุ้นคืออะไร

ลักษณะการหนึ่งของตลาดหุ้น คือ ตลาดหุ้นเป็นแหล่งของร้านอาหารหลาย ๆ ร้าน บริษัท ๆ หลาย ๆ บริษัทมาอยู่รวมกัน เพื่อให้ท่านผู้มีเงินเก็บเหลือ ซึ่งเราเรียกว่า "นักลงทุน" มาร่วมลงทุนและนักลงทุนเหล่านั้นก็จะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมถือหุ้นของบริษัท หรือเจ้าของกิจจการการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นทางเลือกเพื่อการออมเงินในระยะยาวที่ผู้ออมสามารถหลีกเลี่ยง หรือป้องกันการขาดทุนที่เกิดจากระดับอัตราเงินเฟ้อได้ เพราะการลงทุนในหลักทรัพย์จะช่วยรักษามูลค่าที่แท้จริงของเงินลงทุนและให้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล , กำไรส่วนทุน และสิทธิการจองซื้อหุ้นใหม่ในราคาต่ำแก่ผู้ลงทุนอีกด้วย และหาก ผู้ลงทุนมีความรอบรู้และชาญฉลาดพอ ก็จะสามารถเลือกขายหลักทรัพย์ต่าง ๆ ในระดับราคาและจังหวะเวลาที่ให้ผลตอบแทนสูง

เมื่อบริษัทแห่งหนึ่งมีความต้องการเงินทุนในการขยายกิจการ หรือนำเงินมาใช้ในการดำเนินงาน บริษัทแห่งนี้อาจมีหนทางในการระดมเงินได้ 2 หนทาง คือ

การระดมเงินจากตลาดเงิน (Money Market) เช่น การกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยมีพันธะผูกพันธ์ในการต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับสถาบันการเงินนั้น ๆ
การระดมเงินจากตลาดหุ้น (Capital Market) ซึ่งตลาดทุนจะเป็นแหล่งระดมเงินทุนระยะยาว (เกิน 1 ปี) โดยผู้ที่ต้องการระดมเงินทุนจะออกตราสารทางการเงิน หรือ หลักทรัพย์ในตลาดทุน ซึ่งประกอบด้วย หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล หน่วยลงทุนของ กองทุนรวม ใบสำคัญแสดงสิทธิ เป็นต้น เพื่อขายให้กับบุคคลภายนอกหรือประชาชนสำทับไปในตลาดแรก (Primary Market)
ตลาดรอง (Secondary or Trading Market) ซึ่งจัดตั้งเพื่อทำหน้าที่เป็นแหล่งกลางเสริมสภาพคล่องให้แก่หลักทรัพย์ที่ผ่านการจองซื้อในตลาดแรกให้สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือความเป็นเจ้าของหลักทรัพย์ได้ ช่วยสร้างความมั่นคงแก่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ในตลาดแรกว่าเขาสามารถขาย หลักทรัพย์นั้น เพื่อเปลี่ยนกลับคืนเป็นเงินสดได้เมื่อต้องการ

หุ้นคืออะไร

หุ้นคือสินค้าในตลาดหลักทรัพย์ ที่เรียกโดยรวมว่า ตราสาร นั้นหมายถึง เอกสารทางการเงินที่บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ออกมาเพื่อระดมเงินจากผู้ลงทุนและเปิดให้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีอยู่หลายประเภท ขอยกตัวอย่างดังนี้

หุ้นสามัญ (Common Stock) หุ้นสามัญก็คือหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดซื้อขายกันอยู่ และมีจำนวนมากกว่า 80 % ของหุ้นในตลาดทั้งหมด โดยหุ้นสามัญนี้เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน ซึ่งออกโดยบริษัทมหาชนจำกัด ที่ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน เพื่อให้คุณได้เข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจนั้น ๆ โดยตรง ผลตอบแทนที่คุณจะได้โดยตรงก็คือ เงินปันผลจากกำไรในธุรกิจ กำไรจากการขายหุ้นถ้าราคาหุ้นปรับตัวขึ้น และสิทธิในการจองซื้อหุ้นใหม่ ในกรณีที่มีการเพิ่มทุนจดทะเบียน
หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน มีข้อแตกต่างจากหุ้นสามัญคือ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิในการชำระคืนเงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการ

ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) เป็นตราสารที่ระบุว่าผู้ถือครองจะได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นกู้ หรือตราสารอนุพันธ์ในราคาที่กำหนดเมื่อถึงเวลาที่ระบุไว้ (ซึ่งราคาจองซื้อมักจะกำหนดไว้ต่ำกว่าราคาที่มีการซื้อขายปัจจุบัน ใบสำคัญแสดงสิทธิมักจะออกควบคู่กับการเพิ่มทุนเป็นเทคนิคการตลาดของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ในการจูงใจ ให้ผู้ลงทุนจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน หุ้นบุริมสิทธิ 

วิธีตรวจสอบธุรกิจด้วยตนเอง

เทคนิคการตรวจสอบสถานะธุรกิจ
- ตรวจสอบตัวเลขทางการเงินต่างๆ
- จัดทำระบบการรายงานตัวเลขต่างๆ ที่สำคัญต่อการตัดสินใจ
- มีการเปรียบเทียบผลจากตัวเลขในรายงานต่างๆ กับประมาณการที่ตั้งไว้
- กำหนดลำดับความสำคัญของตัวเลขต่างๆ
- การแจกจ่ายรายงานทางการเงินต่างๆ ไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบและเกี่ยวข้อง

ทุกเช้าของ "คุณสุพจน์" ประธานบริษัทและเจ้าของกิจการขายเครื่องมือแพทย์ บริษัทเพื่อนแพทย์ หลังจากอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวันเสร็จสิ้นแล้ว มักมีกิจวัตรประจำวันในการเดินตรวจตราตามแผนกต่างๆ เนื่องจากเขาตระหนักถึงความจำเป็นในการติดตามสถานะของธุรกิจของเขาเป็นประจำทุกวัน
ภารกิจแรกที่เขาต้องทำ คือ ไปที่แผนกขาย เพื่อพูดคุยกับบรรดาเซลส์แมนของบริษัท และสอบถามถึงยอดใบสั่งซื้อว่าเป็นอย่างไรบ้าง ช่วงสายๆ เขาจะเดินไปยังแผนกการเงิน เช็คยอดลูกหนี้คงค้างที่มีอยู่และคำถามที่ติดปากคงหนีไม่พ้น "วันนี้เราเก็บเช็คได้กี่ใบ" จากนั้นจะเดินไปที่แผนกจัดส่งสินค้า เพื่อตรวจสอบการจัดส่งว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ มีสินค้าส่งออกไปปริมาณมากน้อยแค่ใหน การจัดส่งตรงตามเวลาที่สัญญากับลูกค้าหรือไม่
ระบบติดตามของคุณสุพจน์ แม้จะดูว่าเป็นระบบง่ายๆ แต่ก็ทำให้เขาสามารถติดตามสถานะของกิจการได้ตลอดเวลา และเมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็สามารถติดตามแก้ไขได้ทันท่วงที
ในฐานะเถ้าแก่ คงปฏิเสธไม่ได้ถึงความสำคัญในการตรวจสอบสถานะธุรกิจของท่านเป็นประจำเช่นเดียวกับเถ้าแก่สุพจน์ ยิ่งในสถาวะเศรษฐกิจวิกฤติสภาพคล่องติดขัด ลูกค้าหดหาย ยอดขายตกต่ำ ลูกหนี้ไม่ยอมจ่ายหนี้ ยิ่งเราสามารถติดตามสถานะของกิจการและรับรู้ปัญหาได้รวดเร็วเท่าใด เราก็จะสามารถคิดหาแนวทางในการแก้ปัญหาได้รวดเร็วและทันกาลเท่านั้น
เถ้าแก่สามารถคุมสถานการณ์ของธุรกิจอย่างใกล้ชิดแบบง่าย ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนใหญ่ เริ่มจาก
ทั้งนี้งบการเงิน ถือเป็นคู่มือตรวจเช็คสถานะธุรกิจที่ดีที่สุด เถ้าแก่ควรจัดให้เจ้าหน้าที่ทางบัญชีสามารถรายงานงบการเงินต่างๆ ไม่ว่างบกำไรขาดทุน งบดุล งบกระแสเงินสด โดยกำหนดให้รายงานภายใน 10 วัน นับจากวันสิ้นเดือน เพื่อจะได้รู้สถานะทางการเงินไม่ว่าในรูปเงินสด ลูกหนี้คงค้าง สินค้าคงเหลือหรือภาระหนี้สินต่างๆ เช่น เจ้าหนี้การค้าเงินกู้หรือดอกเบี้ยที่จะถึงกำหนดชำระ และผลการดำเนินงานในแต่ละช่วงในรูป ยอดขาย ยอดค่าใช้จ่าย ผลกำไร ฯลฯ
ส่วนใหญ่ธุรกิจขนาดย่อมมักไม่สนใจจัดให้มีระบบการรายงานและจัดทำบัญชีอย่างทันกาล เถ้าแก่จึงมักต้องใช้วิธีนั่งเทียน คาดเดาตัวเลขต่างๆ ด้วยตัวเอง ทำให้เสียทั้งโอกาสในการลงทุน กรณีเงินสดเหลือและอาจเกิดวิกฤติจัดหาเงินทุนหมุนไม่ทันกรณีธุรกิจขาดเงิน
ตัวเลขต่างๆ ที่เถ้าแก่ใช้ในการบริหารงานนั้น บางตัวเลขมีความสำคัญมาก บ่งบอกถึงความเป็นตายของธุรกิจ เช่น ยอดขาย ยอดลูกหนี้ค้างชำระ ฯลฯ ดังนั้น จึงจำเป็นที่เถ้าแก่จะต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตัวเลขต่างๆ เหล่านี้อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดทำรายงานเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือนแล้วแต่ลำดับความสำคัญของตัวเลขเหล่านั้น
ตัวอย่างรายงานต่างๆ ที่ควรจัดให้มีประกอบด้วยรายงานรายเดือนที่แจกแจง ยอดสินค้าคงเหลือ ยอดลูกหนี้ค้างชำระ (แบ่งแยกตามกำหนดค้างชำระ และคำนวณวันถัวเฉลี่ยในการเก็บหนี้ด้วย) ยอดเจ้าหนี้ค้างจ่าย (แบ่งแยกตามกำหนดค้างชำระ และคำนวณถัวเฉลี่ยในการจ่ายหนี้ด้วย) เป็นต้น
หรือการจัดทำรายงานรายสัปดาห์ประกอบด้วย ยอดเงินสดคงเหลือ ยอดเงินสดจ่าย โดยเฉพาะบิลจ่ายจำนวนใหญ่ๆ ยอดเงินสดรับ ยอดขายจากลูกค้ารายใหม่ๆ ยอดสั่งซื้อที่ค้างอยู่ จำนวนพนักงาน โดยคิดคำนวณเป็นยอดขายต่อหัว เพื่อวัดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
เถ้าแก่คงต้งนำตัวเลขที่ปรากฎในรายงานการเงินมาวิเคราะห์เจาะลึกประกอบการตัดสินใจในการบริหาร เช่น เราทราบว่า จำนวนวันถัวเฉลี่ยในการเก็บหนี้บ่งบอกเวลาที่ลูกหนี้ค้างชำระกิจการ ในขณะที่จำนวนวันถัวเฉลี่ยในการจ่ายหนี้ บอกเวลาที่เราค้างชำระหนี้ กรณีที่จำนวนวันถัวเฉลี่ยในการเก็บหนี้มากกว่าจำนวนวันถัวเฉลี่ยในการจ่ายหนี้ หมายความว่า เถ้าแก่ต้องจัดเตรียมเงินของตนไว้เผื่อเท่ากับปริมาณเงินที่ใช้ต่อวัน คูณด้วยจำนวนวันถัวเฉลี่ยที่เหลื่อมกันนั้น
พร้อมกับการเปรียบเทียบผลจากตัวเลขในรายงานต่างๆ กับประมาณการที่ตั้งไว้
ตัวอย่าง เถ้าแก่เคยประมาณว่ายอดขายในเดือนนี้ควรเป็น 3 แสนบาท แต่ปรากฎว่าตัวเลขยอดขายจริงมีเพียงครึ่งเดียว 150,000 บาท เถ้าแก่คงจะต้องสอบถามพนักงานขายว่า ทำไมยอดขายจึงลดต่ำลงเป็นผลจากอะไร อาจเกิดจากสินค้าผลิตไม่ทัน หรือลูกค้าลด ยอดซื้อลง ถ้าทราบว่าเกิดจากคู่แข่งลดราคาสินค้าลงหรือมีโปรโมชั่นพิเศษ
เพราะตัวเลขบางรายการมีความสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจ เช่น ยอดขายและยอดลูกหนี้ค้างชำระ ซึ่งตัวเลข 2 ตัวนี้คือที่มาของแหล่งเงินสดรับส่วนใหญ่ของกิจการขณะที่ยอดค้างจ่ายเจ้าหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยต่างๆ จะถือเป็นรายการใหญ่ของเงินสดจ่ายของกิจการ
เถ้าแก่คงต้องติดตามดูแลรายการเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยจัดให้มีการรายงานตัวเลขต่างๆ เหล่านี้เป็นประจำและทันท่วงที อาจไม่สามารถรอตัวเลขจากทางบัญชีที่สรุปเป็นรายเดือน คงต้องขอตัวเลขเหล่านี้จากฝ่ายบัญชีการเงินและฝ่ายขายให้สรุปออกมาเป็นรายสัปดาห์หรือรายวันแล้วแต่สถานการณ์ของกิจการ เพื่อเป็นข้อมูลในมือของเถ้าแก่ในการจัดการธุรกิจ และปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว
เพื่อให้เกิดการรัีบรู้และรับผิดชอบต่อผลของตัวเลขเหล่านั้น พร้อมคันหาสาเหตุของความแตกต่างระหว่างตัวเลขจริงกับที่ประมาณไว้และหาแนวทางแก้ไข เพราะคงไม่มีผู้รู้ที่มาของตัวเลขต่างๆ ดีเท่าผู้ก่อให้เกิดตัวเลขนั้นๆ
การสร้างระบบให้ผู้สร้างตัวเลขต้องรับผิดชอบต่อตัวเลขจะเป็นวิธีการสร้างประสิทธิภาพในการทำงานแก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน
เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เถ้าแก่ต้องติดตามและทำความเข้าใจที่ไปที่มาของตัวเลขต่างๆ ได้ด้วยตนเองแม้ว่าจะจ้างนักบัญชีมาคอยจัดทำและดูแลตัวเลขเหล่านั้นแล้วก็ตาม
มิฉะนั้นเถ้าแก่คงไม่สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์บริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปกป้องธุรกิจให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติแต่ละช่วงไปได้ด้วยดี
การวิเคราะห์ศึกษาและติดตามตรวจสอบสภาพของธุรกิจอยู่ตลอดเวลา นอดจากนำตัวเลขแต่ละช่วงเวลามาเปรียบเทียบกันและการหาสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขแล้ว เถ้าแก่ควรนำตัวเลขเหล่านั้นเปรียบเทียบคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อให้ทราบตำแหน่งและประสิทธิภาพของตนเมื่อเปรียบเทียบกับผู้อื่นในอุตสาหกรรม
การเปรียบเทียบอาจทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าในรูปแบบเปอร์เซ็นต์แบบง่ายๆ เช่น การเปรียบเทียบรายได้ และค่าใช้จ่ายของธุรกิจของตนต่อยอดขายทั้งหมดของอุตสาหกรรมโดยรวม หรือในรูปอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ซึ่งใช้กันอยู่ทั่วไป

การค้าระหว่างประเทศ "เติบโตของเศรษฐกิจ"

ความคิดเปิดผนึก
วิวาทะว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
อนุวัฒน์ ชลไพศาล

ในฐานะที่ผมถูก ฝึกหัดให้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ (คำกริยา ฝึกหัด” (to train) เป็นคำกริยาเดียวกันกับคำที่ใช้กับ นกที่ ฝึกหัดให้เลือกจิกอาหาร หรือ สุนัขที่ ฝึกหัดให้ยืนด้วย 2 ขาหลังแล้วจะได้รับรางวัล) ผมเคยเชื่อเสมอว่า การเพิ่มพูนการค้าระหว่างประเทศจะนำมาซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบัน ผมเริ่มลังเลใจ  เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ในฐานะนักเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์เราเชื่อว่า เมื่อแต่ละประเทศมีความถนัดในการผลิตสินค้าแต่ละชนิดไม่เท่ากัน ดังนั้น ถ้าให้แต่ละประเทศผลิตสินค้าที่ตนถนัดมากที่สุด แล้วนำมาค้าขายกัน จะทำให้ทุกประเทศมีสินค้าและบริการให้บริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งเท่ากับ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น (แต่จะเท่ากับมีความสุขเพิ่มขึ้นหรือไม่เป็นอีกเรื่องที่เถียงกันได้)  นโยบายการค้าระหว่างประเทศโดยเสรีจะทำให้ประชากรโลกมีสินค้าและบริการให้บริโภคมากกว่าที่จะให้แต่ละประเทศผลิตสินค้าทุกชนิดแล้วไม่ค้าขายกัน (สมมติให้โลกประกอบด้วยประเทศ 2 ประเทศ คือ A และ B แต่ละประเทศเลือกผลิตสินค้า 2 ชนิด คือ X และ Y โดยประเทศ A ผลิตสินค้า X เก่งกว่า (ใช้ปัจจัยการผลิตน้อยกว่า) ประเทศ B และ ประเทศ B ผลิตสินค้า Y เก่งกว่าประเทศ A หากเราให้ประเทศ A ผลิตแต่สินค้า X และประเทศ B ผลิตแต่สินค้า Y แล้วมาค้าขายกัน จะทำให้โลกมีสินค้า X และ Y ให้บริโภคมากกว่าที่จะให้ประเทศ A และ B ผลิตทั้งสินค้า X และY) นักเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์คุ้นๆ ไหมครับ  ความข้างต้นยังเป็นจริงแม้ในกรณีที่ประเทศ A จะผลิตทั้งสินค้า X และ Y เก่งกว่าประเทศ B นักเศรษฐศาสตร์ขนานนามปรากฏการณ์ (หรือความเชื่อ) ดังกล่าวว่า ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ” (Comparative Advantage) แบบจำลองง่ายๆ ข้างต้น มีผลซับซ้อน  ผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายใช้ลำดับเหตุผลจากแบบจำลอง ในการสนับสนุนนโยบายการเปิดเสรีการค้าขายกับต่างประเทศ, การเจรจาเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศ (FTA), ส่งเสริมผู้ผลิตสินค้า OTOP ในการส่งออก โดยเชื่อว่า นโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ดีเท่ากับนโยบายการค้าเสรี เพราะจะนำมาซึ่งสินค้าและบริการให้บริโภคเพิ่มขึ้นและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  คนส่วนใหญ่ใช้ลำดับเหตุผลข้างต้น ปิดปากคนส่วนน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการค้าเสรีระหว่างประเทศ และ ขับไล่คนที่ไม่เห็นด้วยดังกล่าวไปเป็นฤษีชีไพรในป่าที่ไม่เห็นประโยชน์จากการติดต่อค้าขายกับผู้คน  ผมเห็นว่า ลำดับเหตุผลจากแบบจำลองง่ายๆ ข้างต้นสามารถอธิบายว่า เหตุใดสังคมปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะตีความพฤติกรรมการเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใครในระดับปัจเจกว่า เป็นเรื่องผิดปรกติ (ก็คนปรกติเขาต้องเข้าสังคม และ นโยบายการค้าปรกติเท่ากับนโยบายการค้าเสรีไงครับ)  อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านที่มีความละเอียดลออ (Rigorous) ก็ไม่ควรหลงเชื่ออะไรง่ายๆ โดยปราศจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (Empirical Evidence) มาพิสูจน์ความเชื่อ  ความเชื่อเรื่องการเพิ่มพูนของการค้าระหว่างประเทศจะนำมาซึ่งความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นวิวาทะในวงการเศรษฐศาสตร์ระหว่าง World Bank (1993) และ Cline (1982)  ด้านหนึ่ง World Bank (1993) อธิบายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกระหว่างปี 2508-2533 ว่า เกิดจากการที่รัฐบาลในเอเชียตะวันออกดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ เป็นมิตรกับตลาด” (Market Friendly) โดยปัจจัยสำคัญอันนำมาซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ คือ การส่งออก (Export as an Engine of Growth) งานวิจัยของธนาคารโลกฉบับนี้ยังเสนอคำแนะนำต่อว่า ประสบการณ์ความสำเร็จจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออก ควรเป็นแบบจำลองของยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ (Development Model) ที่กลุ่มประเทศยากจนต่างๆ ควรดำเนินรอยตาม  อีกด้านหนึ่ง งานวิจัยจำนวนไม่น้อยตั้งข้อสงสัยว่า สหสัมพันธ์ระหว่างการส่งออกและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีมากน้อยเพียงใด และ การส่งออกเป็นปัจจัยกำหนดการเจริญเติบโต หรือ เป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม  Cline (1982) เสนอว่า คำแนะนำของธนาคารโลกที่ต้องการให้กลุ่มประเทศยากจนต่างๆ ใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมโดยเน้นการส่งเสริมการส่งออก (Export-Orientation Strategy) เป็นความหลงผิดในการใช้เหตุผล ที่เรียกว่า “Fallacy of Composition” เพราะ ยุทธศาสตร์การพัฒนาโดยเน้นการส่งเสริมการส่งออกจะประสบผลสำเร็จ ก็ต่อเมื่อ มีบางประเทศที่ใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาดังกล่าวเท่านั้น แต่หากทุกประเทศใช้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการส่งออกแบบเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน จะทำให้โลกประสบภาวะปริมาณการผลิตสินค้าล้นเกิน และ การกีดกันการค้าระหว่างประเทศ  พูดอีกนัยหนึ่ง คำแนะนำเรื่องยุทธศาสตร์การพัฒนาโดยเน้นการส่งออกของธนาคารโลกเป็นคำแนะนำที่นำไปสู่การ ทำลายตนเอง” (ใช้ศัพท์ฝ่ายซ้าย) เพราะข้อแนะนำในเบื้องแรกที่หวังให้ทุกประเทศมีนโยบายการค้าเสรีระหว่างประเทศ จะนำมาซึ่งนโยบายการกีดกันการค้าในท้ายที่สุด   งานศึกษาใหม่ๆ ในประเด็นวิวาทะนี้ อาทิ Hallak and Levinsohn (2004) เสนอประเด็นเพิ่มเติม คือ หนึ่ง ผลของงานศึกษาเชิงประจักษ์ในอดีตไม่สามารถสรุปว่า การเพิ่มพูนการค้าระหว่างประเทศเป็นเหตุทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเสมอไป  สอง วิธีการศึกษาในอดีตโดยการหาสหสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างปริมาณการค้า, ระดับการเปิดประเทศ (Degree of Openness) กับ อัตรการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มักประสบปัญหาไม่สามารถระบุว่าตัวแปรใดเป็นเหตุหรือเป็นผล (Causality Problem) และงานศึกษาเชิงประจักษ์ในอดีตจำนวนมากก็ขาดการนำตัวแปรที่ครบถ้วนร่วมพิจารณาในการศึกษา เช่น ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ และสถาบัน เป็นต้น ทำให้ผลการศึกษาไม่น่าเชื่อถือ ทั้งยังไม่เกิดประโยชน์ในการกำหนดนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เหมาะสม  Hallak and Levinsohn (2004) เสนอว่า งานศึกษาในอนาคตนอกจากต้องแก้ปัญหาอันเนื่องมาจากวิธีการศึกษาที่บกพร่องข้างต้น ยังต้องตั้งคำถามของการศึกษาให้เล็กลงกว่าเดิม เช่น ผลของนโยบายการค้าเสรีต่อสินค้า X หรือ Y ไม่ใช่ ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ A หรือ B ดังเช่นแต่ก่อนในยุคที่รัฐบาลใช้ความเชื่อเรื่องประโยชน์จากการเพิ่มพูนการค้าเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเจรจาเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศดังเช่นปัจจุบัน ผมเห็นว่า เราควรตั้งข้อสงสัยต่อความเชื่อที่ว่า การเพิ่มพูนการค้าระหว่างประเทศจะนำมาซึ่งความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเสมอ และแม้ว่า ความเชื่อดังกล่าวจะถูกพิสูจน์ด้วยหลักฐานว่าเป็นจริง เราก็ควรทบทวนว่า สังคมจะมีวิธีการจัดสรรผลประโยชน์และต้นทุนจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแก่สมาชิกในสังคมอย่างไร และท้ายสุด เราควรตั้งคำถามด้วยว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจเพียงหนึ่งเดียวที่เราควรมุ่งไปหรือไม่

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การวิเคราะห์การตั้งถิ่นฐาน


                 
                การพิจารณาวิเคราะห์การตั้งถิ่นฐานของคนในอดีตสัมพันธ์กับการใช้ความรู้ทางภูมิศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน แหล่งน้ำ สภาพความเหมาะสมของดินกับการดำรงชีพของมนุษย์ในอดีต ซึ่งปัจจัยที่สำคัญก็คือ การทำความเข้าใจสภาพที่แท้จริงในอดีต ความเป็นไปได้ของสภาพแวดล้อมในอดีต ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบัน ปัจจัยสำคัญของการวิเคราะห์โบราณคดีการตั้งถิ่นฐาน คือ ชุมชน การจัดระเบียบทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ชาเรอร์ และอาชมอร์ (Sharer and Ashmore, 1979 : 423) จัดระดับของการวิเคราะห์แบบแผนการตั้งถิ่นฐานของชุมชนในอดีตไว้ 3 ระดับ คือ
             1. หน่วยเล็กที่สุดอันหมายถึง การศึกษากิจกรรมที่เกิดขึ้นในเฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เช่น ในถ้ำ บ้านเรือนที่อยู่อาศัย
                  2. ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านเรือน หรือความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม ซึ่งอยู่ในขอบเขตพื้นที่เดียวกัน เช่น เนินดิน
                  3. การศึกษาโดยกว้าง คือ การวิเคราะห์การกระจายของกลุ่มชุมชนความสัมพันธ์ระหว่าง ชุมชนแต่ละแห่งในอาณาบริเวณเดียวกันหรือใกล้เคียงกันทางด้านแนวทางในการวิเคราะห์นั้น ทริกเกอร์ (Trigger,1968 : 54 ) เสนอว่ามีแนวทางหลักในการวิเคราะห์การตั้งถิ่นฐานของคนในอดีต 2 ประการ คือ               

      ประการแรก คือแนวทางการวิเคราะห์เชิงนิเวศน์วิทยาเทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับระบบนิเวศน์วิทยา ในการตีความแบบแผนของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในเบื้องต้น เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างระบบสังคมเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อม 
      
      ประการที่สอง คือการทำความเข้าใจในแง่ลึกถึงการจัดระเบียบทางสังคม การตี
ความหมายทางวัฒนธรรมอันเกิดจากการปรับตัวกับสภาพแวดล้อม

ลักษณะและรูปแบบการตั้งถิ่นฐาน


     ลักษณะและรูปแบบของการตั้งถิ่นฐานเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสัมพันธ์กับแบบแผนทางวัฒนธรรม ตลอดจนประเพณีความเชื่อของกลุ่มชนต่าง เหล่านั้น ลักษณะของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มีความสัมพันธ์กับลักษณะสภาพแวด ล้อมและเศรษฐกิจการดำรงชีพซึ่งลักษณะการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มี 3 ลักษณะ คือ
            1. การตั้งถิ่นฐานแบบชั่วคราว
เป็นการตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ และมีการเคลื่อนย้ายไปยังบริเวณอื่น การตั้งถิ่นฐานลักษณะนี้เป็นการดำรงอยู่ของกลุ่มชนที่พึ่งพาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรตามธรรมชาติเช่น สัตว์ป่า พืชพันธุ์ แหล่งน้ำ และความอุดมสมบูรณ์ของดิน ลักษณะของการตั้งถิ่นฐานแบบชั่วคราวทำให้กลุ่มชนที่รวมตัวกันตั้งถิ่นฐานมีขนาดไม่ใหญ่ เนื่องจากข้อจำกัดของทรัพยากรและความสะดวกในการเคลื่อนย้าย รูปแบบการดำรงชีพของการตั้งถิ่นฐานแบบชั่วคราวมีลักษณะการประกอบอาชีพอย่างง่ายอันประกอบไปด้วย
              1 การล่าสัตว์และเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ (Hunting and Gathering) กลุ่มชนที่ดำรงชีพอยู่ด้วยการเก็บ
ของป่าและล่าสัตว์ส่วนใหญ่มีเทคโนโลยีแบบง่าย ๆ เช่น การใช้เครื่องมือหิน และเครื่องมืออย่างง่ายอื่น ๆ ซึ่งอาจอาศัยอยู่ตามเพิงผาหรือถ้ำ หรือบริเวณพื้นที่ราบเชิงเขา
             2. การเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ (Normadic Herding) การเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์คือ กลุ่มชนที่เลี้ยงสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหารเป็นฝูง และเคลื่อนย้ายไ ปตามฤดูกาล


       2. การตั้งถิ่นฐานแบบกึ่งถาวร
เป็นการตั้งถิ่นฐานและการอยู่อาศัยโดยมีพื้นฐานการดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก แต่เป็นการเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอย (Shifting Cultivation) และการเพาะปลูกพืชไร่ซึ่งรูปแบบของการเกษตรกรรม คือ การหักร้างถางป่า แล้วเผา ใช้เครื่องมืออย่างง่าย ขุดและหยอดเมล็ดพืชเมื่อความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลงเพาะปลูกพืชไม่ได้ผล กลุ่มคนก็จะเคลื่อนย้ายถิ่นไปหักร้างถางป่าเพื่อหาที่ทำกินใหม่ลักษณะการตั้งถิ่นฐานแบบนี้ส่วนใหญ่อยู่ตามลักษณะภูมิประเทศที่ราบเชิงเขา


       3. การตั้งถิ่นฐานแบบถารวร
ตั้งถิ่นฐานหลักแหล่งที่แน่นอน มีการเคลื่อนย้ายถิ่นน้อยหรืออาจไม่เคลื่อนย้ายถิ่นฐานเลย พื้นฐานของการตั้งถิ่นฐานรูปแบบนี้เป็นการตั้งถิ่นฐานเพื่อการเพาะปลูกเช่นเดียวกัน แต่การเพาะปลูกเป็นการเพาะปลูกพืชที่มีการหมุนเวียนเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินหรือการตั้งถิ่นฐานเพื่อเพาะปลูกในบริเวณที่ราบลุ่มซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ของดินจากตะกอนลำน้ำ